16 สิงหาคม 2553

ถั่วเหลืองฝักสด แหล่งโปรตีน ราคาถูก

โดย นัฐภัทร์ คำหล้า

ในยุคที่สินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ราคาปรับตัวสูงขึ้นแบบรายวันเช่นนี้ การหารายได้เพิ่มจากการปลูกพืช น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจากพืชผักที่เห็นปลูก และขายกันเกลื่อนเมืองแล้ว มีพืชไร่อายุสั้นอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจ และเป็นพืชทางเลือกใหม่ที่จะเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรในระยะสั้น นั่นคือ ถั่วเหลืองฝักสด

ถั่วเหลืองฝักสด หรือ “ถั่วแระญี่ปุ่น” เป็นถั่วเหลืองที่มีฝักขนาดใหญ่ บริโภคในระยะที่ฝักเริ่มแก่ เมล็ดโตเต็มที่ นั่นคือเมล็ดมีความเต่งและมองเห็นเมล็ดเต็มฝัก ในขณะที่ฝักยังคงมีสีเขียว รสชาติหวานบริโภคได้ทั้งฝักสดหรือต้มรับประทาน

การปลูกถั่วเหลืองฝักสด ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการปลูกถั่วเหลืองไร่ เพียงแต่เก็บเกี่ยวในช่วงระยะที่มีฝักถั่วเต่งเต็มที่ประมาณร้อยละ 80 ในขณะที่ฝักยังมีสีเขียวสด อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 62-68 วัน โดยมีพันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ พันธุ์เอจีเอส 292 และ NO.75 ซึ่งนิยมปลูกเพื่อการส่งออก ส่วนพันธุ์ที่ปลูกแล้วบริโภคภายในประเทศได้แก่พันธุ์เชียงใหม่ 1 และนครสวรรค์ 1 ปกติการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองฝักสดควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้า โดยใช้เคียวเกี่ยวต้นถั่วทั้งต้น แล้วนำไปวางในที่ร่มเพื่อเด็ดใบและก้านออก ให้
เหลือเฉพาะต้นและฝัก จากนั้นจึงมัดต้นถั่วเป็นมัด ๆ ละ 5 กิโลกรัม เพื่อรอการส่งตลาด จำหน่ายต่อไป

อนึ่ง ช่วงระยะเวลาการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองฝักสดที่เหมาะสม และมีคุณภาพดี จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 2 - 3 วันเท่านั้น หลังจากนั้นฝักถั่วจะแก่เกินไป ดังนั้น การปลูกถั่วเหลืองฝักสดจึงต้องมีการวางแผนการปลูก การเก็บเกี่ยวและการตลาดที่ดี จึงจะได้ผลผลิตถั่วเหลืองฝักสดที่มีคุณภาพดีตามความต้องการของลูกค้า

ถั่วเหลืองฝักสด นับว่าเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูก เมื่อเทียบกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง นอกจากนี้ยังมีสารไอโซฟลาโวน (Isoflavones) ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก ลดอาการวัยทอง มีใยอาหารสูง มีวิตามิน A B และ C และแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ เช่น เหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน

เห็นสรรพคุณมากมายแล้ว วันนี้คุณกินถั่วเหลืองหรือยัง ?

จากพันธุ์ฝ้ายสู่เส้นด้ายและผืนผ้า

โดย ปริญญา สีบุญเรือง

พื้นที่ปลูกฝ้ายหายวับไปกับตามาหลายปีแล้ว
....... กลับมาพลิกฟื้นคืนชีวิตให้ฝ้ายกันเถิด

อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ที่มีความรับผิดชอบในเรื่องเรื่องงานวิจัยฝ้ายแล้ว ยังเคยเป็นพื้นที่ปลูกฝ้ายแหล่งใหญ่ของประเทศ

ฝ้าย...พืชต้นเล็กๆ แต่ปลูกและดูแลรักษายาก ต้องการความเอาใจใส่จากเจ้าของมากกว่าพืชชนิดอื่น จนมีคำกล่าวกันว่าหากเกษตรกรคนไหนเคยปลูกฝ้ายมาแล้ว ก็จะสามารถปลูกพืชได้ทุกชนิด ดังนั้น พื้นที่การปลูกฝ้ายของประเทศที่มีนับแสนไร่ ในช่วงปี 2540-2545 จึงค่อยๆเลือนหายไป จนเหลือเพียงไม่ถึงหมื่นไร่ในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากราคาฝ้ายที่ไม่แน่นอน และมีพืชแข่งขันชนิดใหม่ ๆ ที่ดูแลง่ายกว่า แต่ทำรายได้ที่ดีกว่า

ไทยจึงเป็นประเทศผู้นำเข้าฝ้ายมากอันดับที่ 6 ของโลก ฉะนั้นผู้ที่เคยปลูกฝ้ายมาแล้วควรภูมิใจ ที่ได้ช่วยประเทศในการรักษาเงินตรา มิให้รั่วไหลไปกับการซื้อปุยฝ้ายจากต่างประเทศ เพื่อผลิตเครื่องนุ่งห่มของเรา โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่มที่อยู่ในวิถีการผลิตจากหัตถกรรมพื้นบ้านของไทย แต่กลับไม่ได้ใช้ปุยฝ้ายที่ผลิตมาจากชุมชนของตนเอง

ในความจริงแล้ว เรายังมีฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 3 ซึ่งคัดเลือกมาจาก ฝ้ายพันธุ์พื้นเมืองของไทยที่ง่ายต่อการปลูก และดูแลรักษา เนื่องจากมีลักษณะต้นขนไปขน และต่อมพิษที่มีจำนวนมาก ทำให้สามารถป้องกันแมลงศัตรูบางชนิดได้ เกษตรกรไม่จำเป็นต้องพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงตลอดฤดูปลูกเหมือนการปลูกฝ้ายทั่วไป จึงเป็นโอกาสและทางเลือกใหม่ของเกษตรกรที่จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มผู้ปลูกฝ้าย และกลุ่มผู้ปั่นด้าย เพื่อผลิตวัตถุดิบให้แก่กลุ่มผู้ทอผ้าในหมู่บ้านเดียวกันหรือต่างหมู่บ้าน

จากวิกฤตการณ์โลกร้อน ซึ่งร้อนจนสามารถสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นผิดปกติในชีวิตประจำวัน ผ้าฝ้ายคือวัสดุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มประจำวัน ทั้งนี้เพราะผ้าฝ้ายสามารถดูดซับเหงื่อได้ดี และสามารถระบายความร้อนออกจากเส้นใยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่เกิดการหมักหมมที่อาจก่อให้เกิดความระคายเคืองผิวหนังผู้สวมใส่ อีกทั้งผ้าฝ้ายที่ย้อมด้วยคราม หรือต้นฮ่อมจนเป็นสีน้ำเงิน สามารถปกป้องรังสียูวีจากแสงแดดได้ดีที่สุด

เกษตรกรหรือผู้ประกอบการรายใด สนใจที่จะปลูกฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 3 สามารถติดต่อสอบถามและเยี่ยมชมแปลงฝ้าย พร้อมกระบวนการปั่นด้าย ทอผ้า ได้ที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์

23 มิถุนายน 2553

" ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นครสวรรค์ 3 " ผลงานวิจัยดีเด่นของกรมวิชาการเกษตร

นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กรมวิชาการเกษตรได้จัดประชุมวิชาการประจำปี 2553 ณ โรงแรมวังใต้ จ.สุราษฏร์ธานี เพื่อเป็นการนำเสนอผลงานวิจัยดีเด่นของกรมฯ โดยได้มีการคัดเลือกผลงานดีเด่น ประจำปี 2552 ซึ่งจำแนกออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ งานวิจัยพื้นฐาน งานวิจัยประยุกต์ งานพัฒนางานวิจัย งานวิจัยสิ่งประดิษฐ์คิดค้น และงานบริการวิชาการ ในงานนี้ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เข้ารับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นประเภทงานวิจัยประยุกต์ จากผลงานการพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมทนทานแล้ง นครสวรรค์ 3

นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 3 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,106 กิโลกรัมต่อไร่ ทนทานแล้งได้ดีเมื่อประสบภาวะแล้งในช่วงออกดอก ต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง และโรคราสนิม เก็บเกี่ยวด้วยมือง่าย ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ ศูนย์ฯ ได้จัดทำโครงการนำร่องเพื่อความร่วมมือในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมทนทานแล้งนครสวรรค์ 3 ในเชิงพาณิชย์ ปี 2551-2552 คาดว่าสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ 190 ตัน ซึ่งเกษตรกรสามารถนำไปปลูกครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 63,634 ไร่

นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังได้แนะนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ตากฟ้า 1 ซึ่งใช้เป็นพันธุ์แม่ และสายพันธุ์แท้ตากฟ้า 3 ซึ่งเป็นสายพันธุ์พ่อ สำหรับส่งเสริมให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร และบริษัทเมล็ดพันธุ์รายย่อย นำไปผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 3 เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรไทย


ผอ.ศูนย์ฯ หัวหน้าทีมวิจัย และทีมนักวิชาการเกษตรบางส่วน ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดนครสวรรค์ 3
เข้ารับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น

20 พฤษภาคม 2553

ผลกระทบจากการใช้สารกำจัดวัชพืช

สารกำจัดวัชพืช หรือ ยาฆ่าหญ้า หมายถึง สารที่ใช้ฆ่าวัชพืชที่ขึ้นในแปลงปลูกทั้งบนดินและใต้ดิน เพื่อไม่ให้ไปแก่งแย่งปัจจัยการเจริญเติบโตจากพืชที่เราปลูก ไม่ว่าจะเป็นธาตุอาหาร น้ำ แสงแดด และพื้นที่

การกำจัดวัชพืชทำได้หลายวิธี เช่น การใช้แรงงานคนในการขุด ดาย ถอน และ การใช้เครื่องจักรกลขนาดเล็กในการกำจัด การใช้สารกำจัดวัชพืชเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่เกษตรกรนิยมปฏิบัติกันมาก เนื่องจากให้ผลรวดเร็ว สะดวก ไม่ต้องใช้แรงงานมาก สารกำจัดวัชพืชมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการเข้าทำลายพืชต่าง ๆ กัน

การใช้สารกำจัดวัชพืชให้ถูกชนิดและใช้ให้ถูกวิธีตามคำแนะนำ จะทำให้สารมีประสิทธิภาพในการกำจัดได้ดี และไม่เป็นอันตรายต่อพืชที่ปลูก พืชในพื้นที่ข้างเคียง สิ่งแวดล้อม หรือต่อผู้ใช้เอง

ปัญหาการใช้สารกำจัดวัชพืชแล้วส่งผลกระทบต่อพืชปลูกของเกษตรกรเอง และต่อพืชปลูกของเพื่อนบ้านในพื้นที่ข้างเคียงเกิดขึ้นเสมอ
ที่พบบ่อยครั้งคือกรณีการใช้สารกำจัดวัชพืชในไร่อ้อยแล้วละอองสารปลิวไปทำความเสียหายให้กับพืชชนิดอื่นๆ ในแปลงข้างเคียง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเกษตรกรทั้งสองฝ่าย เป็นกรณีพิพาทถึงขั้นฟ้องร้องกันก็มี

คำแนะนำในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น เกษตรกรที่จะใช้สารกำจัดวัชพืช ควรศึกษาวิธีการใช้สารโดยอ่านจากฉลากอย่างละเอียด
หากยังไม่เข้าใจสามารถขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ เกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกใกล้เคียงกันควรพูดคุยทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการปลูกพืชซึ่งเป็นพืชต่างชนิดกันในพื้นที่ใกล้กัน หรือก่อนที่จะมีการพ่นสารกำจัดวัชพืช เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างเกษตรกรด้วยกัน

ตัวอย่างอาการผิดปกติของพืชจากการใช้สารกำจัดวัชพืชไม่ถูกต้อง

เมื่อมันสำปะหลังแตกใบแล้ว มีการพ่นไดยูรอนเพื่อควบคุมวัชพืชในแปลงมันสำปะหลัง
มีผลทำให้มันสำปะหลังแสดงอาการใบเหลืองซีดจนถึงใบไหม้


การพ่นไดยูรอนในอัตราที่สูงเพื่อควบคุมวัชพืชในแปลงมันสำปะหลัง ทำให้มีการตกค้างของสารไดยูรอนอยู่ในดินเป็นเวลานานหลายเดือน
ไดยูรอนจะถูกดูดซึมขึ้นไปทางราก มีผลทำให้มันสำปะหลังใบไหม้ ต้นแห้งตาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณสารที่ตกค้าง


พริกของเกษตรกร มีอาการใบเรียวเล็ก (ใบยอด)เกิดจากการได้รับสาร 2,4-D ที่ปลิวมาจากการใช้ในไร่อ้อยข้างเคียง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับพิษของสารกำจัดวัชพืช...ในจดหมายข่าวศูนย์ฯ เดือนพฤษภาคม 2008 http://nsfcrc-news.blogspot.com/2008/05/blog-post_26.html

ข้อจำกัดของการปลูกมันสำปะหลังในดินด่าง

พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังได้เพิ่มมากขึ้น บางครั้งเกษตรกรปลูกมันสำปะหลังโดยไม่ได้พิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่ ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของมันสำปะหลัง
ดินที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง พบทั่วไปในหลายจังหวัด รวมเนื้อที่ทั้งหมดกว่าล้านไร่ โดย 85 เปอร์เซ็นต์กระจายอยู่ในสี่จังหวัด ได้แก่ นครสวรรค์ ปราจีนบุรี กาญจนบุรี และลพบุรี

ดินด่างเกิดจากการสลายตัวของหินปูนและหินอัคนีเนื้อละเอียด และเกิดจากมาร์ล เป็นดินตื้นถึงตื้นมาก มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง พบเศษหินปูนหรือก้อนปูนปะปนอยู่กับเนื้อดิน และเป็นชิ้นหนา ยากในการที่รากพืชจะชอนไชไปหาอาหาร
ดินที่มีความเป็นด่างจัด ทำให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิดถูกตรึงอยู่ในรูปที่ไม่ละลายมาเป็นประโยชน์ต่อพืช โดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรัส และจุลธาตุบางชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง สังกะสี และโบรอน

มันสำปะหลังพันธุ์ที่ไม่ทนต่อดินด่างจะแสดงอาการใบเหลืองซีด ใบไหม้ แคระแกรน ทรงพุ่มเล็ก ต้นตาย จำนวนต้นต่อพื้นที่ลดลง ต้นมันสำปะหลังที่เหลืออยู่ไม่สามารถแข่งขันกับวัชพืชที่ขึ้นอย่างหนาแน่นได้ การกำจัดวัชพืชต้องทำบ่อยครั้งขึ้น ไม่คุ้มกับผลผลิตที่จะได้

อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรยังต้องการปลูกมันสำปะหลังในดินด่าง ควรเลือกดินที่มีหน้าดินหนากว่า 15 ซ.ม. ไม่มีก้อนปูนหรือเศษหินปะปนอยู่มาก มีการใส่ปุ๋ยเคมีในอัตราที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและการเพิ่มผลผลิตหัวสด

การปรับปรุงและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อเพาะปลูกไปนาน ๆ ความอุดมสมบูรณ์ย่อมลดลง ควรมีการปลูกพืชบำรุงดิน เช่น ปอเทือง นอกจากนี้การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ช่วยให้ดินร่วนซุยมากขึ้น

นอกจากนี้ เพื่อลดความเสียหายของผลผลิต เกษตรกรควรพิจารณาเลือกพันธุ์มันสำปะหลังที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่เป็นด่างมาปลูก
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ โทร. 0-5624-1019
ข้อมูลดิน: กรมพัฒนาที่ดิน

18 มีนาคม 2553

"แตนฝอยปม" แมลงศัตรูของยูคาลิปตัส

คนที่ปลูกยูคาลิปตัสคงเคยประสบปัญหายูคาลิปตัสเกิดปมตามส่วนต่างๆ ของต้น ทำให้ต้นบิดเบี้ยว แตกพุ่ม แคระแกร็น โดยเฉพาะต้นยูคาลิปตัสในแปลงเพาะ หรือต้นที่แตกหน่อใหม่
ปมที่ว่านี้เกิดจากการเข้าทำลายของแมลงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "แตนฝอยปม" ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Leptocybe invasa
ตัวเต็มวัยของแตนชนิดนี้แทงอวัยวะเข้าไปวางไข่ในส่วนที่อ่อนของพืช เช่น เส้นกลางใบ ก้านใบ กิ่ง ของยอดที่อ่อน
หลังจากนั้นแตนก็จะพัฒนาอยู่ในปมนั้น พร้อมๆ กับปมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ตัวเต็มวัยที่มีแต่เพศเมียทั้งหมดก็จะเจาะออกมาจากปม ไปวางไข่ต่อได้ทันที แพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก


สภาพแปลงยูคาลิปตัสที่แตกหน่อใหม่ถูกแตนฝอยปมเข้าทำลายทุกต้น ยูคาลิปตัสที่อายุต่ำกว่า 1 ปี จะเสียหายจากการทำลายมาก

ตัวเต็มวัยซึ่งมีขนาดเล็กแค่ 1.2 มิลลิเมตร จะทะยอยเจาะออกจากปม 1-2 วันหลังเก็บกิ่งและใบต้นยูคาลิปตัสที่มีปมไว้ในกล่องพลาสติก

ตัวเต็มวัยแตนฝอยปม Leptocybe invasa

รูเจาะออก

ปมบนส่วนต่างๆ ของยูคาลิปตัส

ต้นแตกพุ่ม เนื่องจากถูกแตนทำลายมาก

ระยอง 9 เพิ่มผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งมันสำปะหลังในเขตดินทราย

นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เปิดเผยว่า จากกรณีปัญหามันสำปะหลังที่ปลูกในดินทราย ท้องที่ ต.หนองหลวง อ.ท่าตะโก และ ต.อุดมธัญญา อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ที่เก็บเกี่ยวเมื่อปี 52 คุณภาพไม่ดี มีเนื้อแป้งสีเหลือง ไส้กลวง ฉ่ำน้ำ ให้เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ นั้น
ศูนย์ฯ ซึ่งรับผิดชอบงานวิจัยด้านพืชไร่ได้เข้าไปแก้ปัญหาโดยนำเทคโนโลยีด้านพันธุ์และการจัดการเข้าไปทดสอบแบบเกษตรกรมีส่วนร่วมเพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้เกษตรกร

พันธุ์มันสำปะหลังที่เกษตรกรปลูก มีลักษณะแป้งสีเหลือง ฉ่ำน้ำ ไส้กลวง

นายดาวรุ่ง คงเทียน นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าในพื้นที่ดังกล่าวดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เกษตรกรปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ที่เรียกว่า ระยองหางม้า มาเป็นเวลานาน
จึงได้นำเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังเข้าไปทดสอบ ได้แก่ การปลูกพันธุ์ระยอง 9 ร่วมกับการใส่ปุ๋ยมูลไก่แกลบอัตรา 500 กก./ไร่ และใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-7-18 อัตรา 50 ก.ก./ไร่
เปรียบเทียบกับวิธีการที่เกษตรกรปฏิบัติ ได้แก่ การปลูกพันธุ์ระยองหางม้า และใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-7-18 อัตรา 50 ก.ก./ไร่
พบว่า เมื่อเก็บเกี่ยวที่อายุ 8 เดือน การปลูกพันธุ์ระยอง 9 ร่วมกับการใส่ปุ๋ยมูลไก่แกลบอัตรา 500 กก./ไร่ และใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-7-18 อัตรา 50 ก.ก./ไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ย 5.74 ตัน/ไร่ เปอร์เซ็นต์แป้งเฉลี่ย 30.3 ได้กำไรสุทธิ 6,109 บาท/ไร่
ส่วนการปลูกด้วยพันธุ์และวิธีการของเกษตรกร ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4.13 ตัน/ไร่ เปอร์เซ็นต์แป้งเฉลี่ย 25.35 ได้กำไรสุทธิ 4,028 บาท/ไร่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.081-1815977


เนื้อหา