20 ธันวาคม 2551
คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ จ.นครสวรรค์
นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ซึ่งรับผิดชอบคลินิกพืช ได้มีการจัดแสดงนิทรรศการด้านพันธุ์พืช ได้แก่ มันสำปะหลังพันธุ์ดี ข้าวโพดลูกผสมเดี่ยวพันธุ์นครสวรรค์ 3 และนิทรรศการด้านพืชชนิดอีกหลายชนิด เช่น ข้าวโพดหวาน การปลูกพืชผัก โรคและแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังให้คำแนะนำแก่เกษตรกรที่มาขอรับการปรึกษาปัญหาการผลิตพืช ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่มีปัญหาด้านการใช้พันธุ์มันสำปะหลังไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ผลผลิตข้าวโพดคุณภาพต่ำ นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ผลการดำเนินงาน มีเกษตรกรเข้าร่วมงานทั้งสิ้นประมาณ 800 ราย เข้ารับคำปรึกษาปัญหาด้านการผลิตพืชในคลินิกพืช จำนวน 55 ราย
2 ธันวาคม 2551
เตือนภัย...การระบาดของโรคใบไหม้แผลใหญ่ในข้าวโพดหวาน
เกิดโรคได้กับทุกส่วน โดยเฉพาะบนใบ นอกจากนี้พบที่กาบใบ ลำต้น และฝัก โดยเกิดเป็นแผลมีขนาดใหญ่สีเทา หรือสีน้ำตาล มีลักษณะยาวตามใบ หัวท้ายเรียวคล้ายรูปกระสวย อาการจะเกิดกับใบล่าง ๆ ก่อน แผลมีขนาดยาว 2.5-15 ซม. ใบที่มีอาการรุนแรงแผลจะขยายตัวรวมกันเป็นแผลใหญ่ทำให้ใบไหม้และแห้งตายในที่สุด
การแพร่ระบาดเชื้อราจะสร้างสปอร์บนแผล และสปอร์ก็จะแพร่ไปโดยลม ฝน เมื่อมีความชื้นสปอร์จะงอกเข้าทำลายใบข้าวโพดและแสดงอาการของโรคในส่วนอื่น ๆ ต่อไป เชื้อจะสร้างสปอร์จำนวนมากในสภาพความชื้นสูง และมีอุณหภูมิระหว่าง 18-27 องศาเซลเซียส ถ้าข้าวโพดเกิดโรคก่อนออกไหมทำให้ผลผลิตลดได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เชื้อราสามารถอยู่ข้ามฤดูในเศษซากข้าวโพด
การป้องกันกำจัด1. หมั่นตรวจไร่อยู่เสมอ ตั้งแต่ระยะกล้า เมื่อพบโรคในระยะเริ่มแรก ให้พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้
· โพรพิโคนาโซล อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
· คาร์เบนดาซิม + อีพอกซี่โคนาโซล อัตรา 25 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
· โพรพิโคนาโซล + ไดฟีโนโคนาโซล อัตรา 5 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
การพ่นด้วยสารกำจัดโรคพืชให้พ่น 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 7 วัน ไม่ควรใช้สารชนิดเดียวกันเกิน 3 ครั้ง เพราะจะทำให้เชื้อสาเหตุเกิดการดื้อต่อสารป้องกันกำจัดโรค
*** การควบคุมโรคด้วยสารเคมีกำจัดโรคพืชจะให้ผลดีเมื่อพ่นในระยะที่ข้าวโพดเริ่มแสดงอาการ ***
2. ทำลายข้าวโพดที่เป็นโรคและเศษซากของข้าวโพดหลังเก็บเกี่ยว เพราะเชื้อราสามารถอยู่ข้ามฤดูบนเศษซากข้าวโพดได้
3. หลีกเลี่ยงฤดูปลูกให้ไม่ตรงกับช่วงที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการระบาดของโรค
19 พฤศจิกายน 2551
เตือนภัย...การระบาดของแมลงศัตรูพืชในหน้าแล้ง
สำหรับมันสำปะหลังมีแมลงศัตรูที่พบระบาด และมีลักษณะการทำลายและการป้องกันกำจัดดังต่อไปนี้
เพลี้ยแป้งลาย
เพลี้ยแป้งลาย เป็นแมลงปากดูด ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ดูดกินน้ำเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ใบ ยอด และส่วนตา
ลักษณะของเพลี้ยแป้ง
ตัวเต็มวัย มีลักษณะตัวบนหลังและด้านข้างมีแป้งปกคลุมมาก มีทั้งชนิดอกลูกเป็นไข่ และออกลูกเป็นตัว
ลักษณะการทำลายเพลี้ยแป้งถ่ายมูลของเหลวทำให้เกิดราดำ (Sooty Mold) บนใบและส่วนอื่นๆ ของต้นพืช ซึ่งมีผลให้พืชสังเคราะห์แสงได้น้อย การดูดกินน้ำเลี้ยงของเพลี้ยแป้งทำให้การเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ลำต้นมีช่วงข้อถี่ ยอดและใบบิดเบี้ยว ยอดแห้งตาย หรือยอดแตกพุ่ม และอาจมีผลกระทบต่อการสร้างหัวหากพืชยังเล็ก ลำต้นมันสำปะหลังที่มีราดำขึ้นปกคลุมเมื่อนำไปใช้เป็นท่อนพันธุ์อาจทำให้ความงอกลดลงการแพร่ระบาดเพลี้ยแป้งจะแพร่กระจายตามลำต้น ซอกใบ ใต้ใบมันสำปะหลัง ปริมาณจะเพิ่มขึ้นจนเต็มข้อ ตามลำต้น ส่วนใบ ส่วนยอด เพลี้ยแป้งชนิดออกลูกจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าชนิดวางไข่ หากสภาพอากาศแห้งแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน จะขยายปริมาณอย่างรวดเร็ว ตัวอ่อนวัย 1 เป็นวัยที่เคลื่อนย้ายไปตามส่วนต่าง ๆ ของพืช เป็นวัยสำคัญในการแพร่กระจายไปสู่บริเวณพื้นที่อื่น โดยการติดไปกับท่อนพันธุ์หรือกระแสลมมันสำปะหลังพันธุ์แนะนำ เช่น ระยอง 90 ไม่มีการทำลายของเพลี้ยแป้งในระดับที่ความเสียหาย
แนวทางในการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง
1. หลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังในช่วงที่พืชยังเล็กจะกระทบกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการขยายปริมาณเพลี้ยแป้ง ใช้พันธุ์ที่ทางรัฐบาลแนะนำ
2. เก็บส่วนของพืชที่มีเพลี้ยแป้งออกจากแปลง เผาหรือทำลาย และทำความสะอาดแปลงเก็บวัชพืช ซากพืช ออกจากแปลงหลังเก็บเกี่ยวแล้ว
3. เพลี้ยแป้งมีศัตรูธรรมชาติ ทั้งแมลงเบียนและแมลงห้ำคอยควบคุมปริมาณเพลี้ยแป้งให้อยู่ในระดับสมดุลอยู่แล้วในสภาพปกติ
4. ควรใช้สารฆ่าแมลงเมื่อมีการระบาดของเพลี้ยแป้งอย่างรุ่นแรง พืชเริ่มแสดงอาการถูกทำลาย พ่นเฉพาะบริเวณที่พบแมลง ระยะที่เหมาะสมเป็นระยะที่เพลี้ยแป้งอยู่ในวัยที่ 1-2 เนื่องจากยังไม่มีแป้งเกาะตามลำตัว เพราะแป้งจะเป็นเกราะกำบังสารฆ่าแมลงได้อย่างดี พ่นเฉพาะบริเวณที่พบแมลงเท่านั้น
แมลงหวี่ขาว
แมลงหวี่ขาว Bemisia tabaci (Aleyrodidae : Homoptera)ทำลายพืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจหลายชนิด การระบาดตลอดทั้งปี และระบาดรุนแรงในฤดูแล้ง และต้นฤดูฝน ซึ่งมีอากาศร้อน แห้งแล้ง
ลักษณะของแมลงหวี่ขาว
ลักษณะของแมลงหวี่ขาวตัวเต็มวัยเป็นแมลงขนาดเล็ก ลำตัวสีเหลืองหรือสีขาว มีปีก 1 คู่ เคลื่อนไหวเมื่อถูกรบกวน วางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ หรือชิดติดกันที่ด้านใต้ใบพืช ไข่มีสีเหลืองอ่อนลักษณะยาวเรียวและมีก้านสั้น ๆ ยึดติดกับใบพืช ตัวอ่อนมีรูปร่างคล้ายรูปไข่ ขอบด้านข้างลาดลง สีเหลืองปนเขียว ตัวอ่อนวัยที่ 1 เคลื่อนไหวได้ ตัวอ่อนที่มีอายุมากขึ้นจะเกาะนิ่งอยู่ด้านใต้ใบพืชและดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบเป็นอาหาร
การทำลาย
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใต้ใบ ทำให้ใบเหลืองซีด ถ้าระบาดมากในระยะแรกของการเจริญเติบโต จะทำให้ต้นแคระแกร็น สามารถถ่ายมูลหวานบนใบพืชเช่นเดียวกับเพลี้ยแป้ง และเพลี้ยอ่อน ทำให้เกิดราดำ มีผลทำให้พืชสังเคราะห์แสงลดลง
การป้องกันกำจัดในมันสำปะหลัง
ไม่แนะนำให้พ่นสารกำจัดแมลง เนื่องจากเพิ่มต้นทุนการผลิต และไม่คุ้มทุน หากมีฝนตกปริมาณและความรุนแรงในการระบาดจะลดลง การทำลายของแมลงหวี่ขาวขึ้นกับพันธุ์มันสำปะหลัง ถ้ามันสำปะหลังอายุ 7 เดือนขึ้นไปจะไม่กระทบต่อผลผลิต
ไรแดง
ไรแดงที่ทำลายมันสำปะหลังพบ 2 ชนิด คือ ไรแดงหม่อน และไรแดงมันสำปะหลัง ไรแดงหม่อนทำความเสียหายดูดกินน้ำเลี้ยงตามใต้ใบส่วนล่าง ๆ ของมันสำปะหลัง และขยายปริมาณขึ้นสู่ส่วนยอด ส่วนไรแดงมันสำปะหลังดูดกินน้ำเลี้ยงบนหลังใบส่วนยอด และขยายปริมาณลงสู่ส่วนล่างของลำต้น
ลักษณะของไรแดง
ตัวเต็มวัยมีขา 8 ขา ลำตัวสีแดงเข้ม ส่วนขาไม่มีสี ไรแดงอยู่รวมเป็นกลุ่ม ทำลายทั้งใต้ใบ และบนหลังใบ ตัวเมียขยายพันธุ์โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ (Parthenogenesis) ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ชีพจักรสั้น ตัวเมียวางไข่ได้ 4-13 ฟอง เฉลี่ย 4.79 ฟองต่อวัน ปกติไรแดงจะไม่ค่อยเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวไปไกล ๆ โดยใช้เส้นใยสีขาวคล้ายใยแมงมุม ซึ่งใช้เป็นส่วนป้องกันไข่จากศัตรูธรรมชาติ การแพร่กระจายโดยอาศัยกระแสลม การทำความเสียหายจะเกิดขึ้นเป็นหย่อม ๆ แล้วกระจายออกเป็นบริเวณกว้าง หากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
การทำลาย
ดูดกินน้ำเลี้ยงบนใบและใต้ใบ ทำให้ใบมันสำปะหลังเหลืองซีดเป็นรอยขีด ใบม้วนงอและร่วง ส่วนยอดที่ถูกทำลายงองุ้ม ตาลีบ
การป้องกันกำจัด
หากมีการระบาดรุนแรง และมีฝนทิ้งช่วงยาวนาน ควรพ่นด้วย อมิทราช หรือไดโค
ฟอล โดยพ่นเฉพาะต้นที่แสดงอาการ
4 พฤศจิกายน 2551
การปลูกมันสำปะหลังในชุดดินตาคลี
ชุดดินตาคลีเป็นอีกชุดดินหนึ่งที่ใช้ในการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ชุดดินตาคลี และชุดดินบึงชนัง มีวัตถุต้นกำเนิดดินมาจากการสลายตัวของหินปูนและหินอัคนีเนื้อละเอียด และเกิดจากมาร์ล จัดอยู่ในกลุ่มชุดดินที่ 52 เป็นดินตื้นถึงตื้นมาก พบก้อนปูนหรือปูนมาร์ลปนอยู่ในเนื้อดินมากในระดับความลึก 50 เซนติเมตรจากผิวดิน เนื้อดินชั้นบนเป็นดินร่วนเหนียวหรือดินเหนียว ดินชั้นล่างเป็นดินเหนียวปนก้อนปูนหรือปูนมาร์ล มีปฏิกิริยาดินเป็นกลางถึงด่างแก่ มีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 7.0-8.5 มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง มีความลาดเทระหว่าง 1-5 เปอร์เซ็นต์ พบก้อนปูนกระจัดกระจายที่ผิวดินแต่ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์
กลุ่มชุดดินที่ 52 แพร่กระจายอยู่ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ รวมเนื้อที่ทั้งหมด 1.62 ล้านไร่ โดย 85 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มชุดดินนี้กระจายอยู่ในสี่จังหวัดได้แก่ นครสวรรค์ ปราจีนบุรี กาญจนบุรี และลพบุรี ซึ่งมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในปี 2550 รวมกันประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ ถึงจะเป็นตัวเลขที่ไม่มากนัก แต่หากมีการจัดการการดินที่เหมาะสมในกลุ่มชุดดินนี้ ก็จะช่วยยกระดับผลผลิตโดยรวมของมันสำปะหลังขึ้นมาได้อีก
ความเหมาะสมสำหรับการปลูกพืช
โดยทั่วไปกลุ่มชุดดินที่ 52 มีศักยภาพเหมาะสมในการปลูกพืชไร่และพืชผักหลายชนิด แม้หน้าดินจะตื้นแต่มักจะมีหน้าดินหนามากกว่า 15 เซนติเมตร นอกจากจะมีความอุดมสมบูรณ์สูงแล้วยังมีลักษณะทางกายภาพดีเป็นส่วนใหญ่
ปัญหาและข้อจำกัดในการปลูกพืช
· เนื่องจากเป็นดินตื้นถึงตื้นมาก มีเศษหินปูนหรือก้อนปูนปะปนอยู่กับเนื้อดินและเป็นชิ้นหนา ยากในการที่รากพืชจะชอนไชไปหาอาหาร และยากในการเตรียมดินปลูก
· ดินเป็นด่างจัด ทำให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิดถูกตรึงอยู่ในรูปที่ไม่ละลายมาเป็นประโยชน์ต่อพืช โดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรัส และจุลธาตุบางชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง สังกะสี และโบรอน เป็นต้น
· ดินขาดน้ำและความชื้นไม่พอเพียงในหน้าแล้ง
ข้อแนะนำในการจัดการดินเพื่อให้เหมาะสมในการปลูกมันสำปะหลัง
ดินชุดนี้มีศักยภาพเหมาะสมในการปลูกพืชไร่รากตื้นและพืชผักได้เป็นอย่างดี ถ้าชั้นดินบนไม่มีปูนปะปนอยู่มาก และมีความหนามากกว่า 15 ซ.ม. จากการประเมินชั้นความเหมาะสมของดินกลุ่มนี้โดยกรมพัฒนาที่ดินในการปลูกมันสำปะหลัง พบว่ามีความเหมาะสม เท่ากับ 1 ในดินที่มีหน้าดินหนามากกว่า 25 ซ.ม. และเท่ากับ 1g ในดินที่มีหน้าดินหนาน้อยกว่า 25 ซ.ม. หมายความว่า มีความเหมาะสมในการปลูกมันสำปะหลัง แต่ถ้ามีหน้าดินหนาน้อยกว่า 25 ซ.ม. มักจะมีชั้นเศษหิน กรวด หรือลูกรังอยู่ตื้น เป็นอุปสรรคต่อการเจริญของรากพืช
ดังนั้นหากต้องการปลูกมันสำปะหลังในกลุ่มชุดดินที่ 52 ควรเลือกดินที่มีหน้าดินหนากว่า 15 ซ.ม. ไม่มีก้อนปูนหรือเศษหินปะปนอยู่มาก
นอกจากนี้การปรับปรุงและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นสิ่งจำเป็น ถึงแม้ว่าชุดดินนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่เมื่อเพาะปลูกไปนาน ๆ ความอุดมสมบูรณ์ย่อมลดลง ควรจัดระบบปลูกพืชบำรุงดิน พืชปุ๋ยสดที่แนะนำ ได้แก่ ปอเทือง นอกจากนี้การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 0.5-1.0 ตันต่อไร่ ช่วยให้ดินร่วนซุยมากขึ้น
การจัดการอีกอย่างหนึ่งคือคัดเลือกพันธุ์มันสำปะหลังที่สามารถขึ้นได้ดีในดินที่เป็นด่างมาปลูกก็จะทำให้การใช้กลุ่มดินชุดที่ 52 มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลักษณะอาการผิดปกติที่พบในการปลูกมันสำปะหลังในชุดดินตาคลี
จากการปลูกทดสอบมันสำปะหลังในชุดดินตาคลีที่มีเม็ดปูนปนอยู่ในดินชั้นบนมาก ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ต.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ พบว่า ในด้านการเจริญเติบโต มันสำปะหลังเริ่มแสดงอาการผิดปกติเด่นชัดเมื่ออายุ 2 สัปดาห์หลังปลูก โดยมีอาการใบเหลืองซีดที่ใบบน บางพันธุ์แสดงอาการใบเหลืองซีดร่วมกับอาการใบไหม้ และจะแสดงอาการรุนแรงในมันสำปะหลังบางพันธุ์ อาการผิดปกติดังกล่าวเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก จากการสังเกตพบว่าพันธุ์ระยอง 9 จะแสดงอาการรุนแรงที่สุด โดยใบทุกใบเหลืองซีด ใบไหม้และแห้งตายจากใบล่างขึ้นมาใบบน ทำให้มีจำนวนต้นตายสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์อื่น พันธุ์ที่อาจมีความเสี่ยงเมื่อปลูกในดินชุดนี้อีกพันธุ์หนึ่งคือระยอง 7 ซึ่งแสดงอาการใบซีดและใบไหม้ตลอดระยะการเจริญเติบโต พันธุ์ที่พบว่าค่อนข้างทนต่อการปลูกในดินชุดตาคลี ได้แก่ พันธุ์ระยอง 5 และระยอง 11 มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ที่นำมาทดสอบ ใบมีสีเขียวเกือบปกติ ไม่มีต้นตาย
นอกจากนี้การปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ที่ไม่ทนต่อชุดดินตาคลีที่มีเม็ดปูนปนอยู่มากและหน้าดินตื้น จะมีผลทำให้ต้นมันสำปะหลังแคระแกร็น ทรงพุ่มเล็ก ต้นตาย ทำให้จำนวนต้นต่อพื้นที่ลดลง ดังนั้นต้นมันสำปะหลังที่เหลืออยู่จึงไม่สามารถแข่งขันกับวัชพืชที่ขึ้นอย่างหนาแน่นได้ การกำจัดวัชพืชต้องทำบ่อยครั้งขึ้น และอาจไม่คุ้มกับผลผลิตที่จะได้
ภาพที่ 1 ลักษณะการเจริญของมันสำปะหลังในดินที่มีเม็ดปูนปะปนในดินชั้นบน
ภาพที่ 2 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 อายุ 2 เดือน
ภาพที่ 3 ความแตกต่างของมันสำปะหลังแต่ละพันธุ์เมื่อปลูกในชุดดินตาคลี แปลงย่อยที่ใบยังเขียวคือพันธุ์ระยอง 5
ภาพที่ 4 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 อายุ 11 เดือน
ภาพที่ 5 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 7 อายุ 11 เดือน
ภาพที่ 6 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 5 อายุ 11 เดือน
ข้อมูลดิน: กรมพัฒนาที่ดิน
23 กันยายน 2551
ดูงาน National Institute of Science สาธารณรัฐเกาหลี
7 สิงหาคม 2551
สัมมนาเกษตรกรต้นแบบการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
นายชลวุฒิ ละเอียด ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า การสัมมนาครั้งนี้นอกจากให้ความรู้แก่เกษตรกรแล้วยังเป็นการระดมความรู้และความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากเกษตรกรผู้นำ ตลอดจนแลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ที่เกิดจากการวิจัยและจากเกษตรกรที่หลากหลาย
1 สิงหาคม 2551
การระบาดของโรคใบไหม้มันสำปะหลัง
ช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม ในปีที่มีฝนตกติดต่อกัน มักพบการระบาดของโรคใบไหม้ในหลายพื้นที่ที่มีการปลูกมันสำปะหลัง เนื่องจากมีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการเกิดโรค ปีนี้ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ได้รับแจ้ง ให้เข้าไปตรวจสอบลักษณะอาการผิดปกติในแปลงเกษตรกรประมาณ 20 ราย นอกจากนี้ ยังได้รับแจ้งว่ามีการระบาดของโรคใบไหม้ในพื้นที่ อ.แม่วงก์ และ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ อีกด้วย
หลังจากเข้าไปตรวจสอบ พบการระบาดรุนแรงในมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 5 ทางศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ได้อธิบายและทำความเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันกำจัดที่เหมาะสมแก่เกษตรกร ซึ่งแม้ว่าพันธุ์นี้เป็นโรคได้ง่ายกว่าพันธุ์อื่นๆ แต่อาการไม่รุนแรงถึงกับทำให้ตาย
โรคใบไหม้ (Cassava Bacterial Blight : CBB)
- เกิดจาก
เชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas campestris pv. manihotis
ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่จังหวัดระยอง เมื่อปี 2518 และต่อมาพบทั่วทุกภาค ระดับความเสียหายเนื่องจากโรคนี้มีตั้งแต่ 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อใช้ท่อนพันธุ์จากต้นที่เป็นโรค ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการเกิดโรคและใช้ต้นพันธุ์ที่เป็นโรคติดต่อกัน 3 ถึง 4 ปี โดยไม่มีการป้องกันกำจัด อาจมีความเสียหายถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ระดับความเสียหายจะขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์การใช้ท่อนพันธุ์ที่มีเชื้อปะปนมา (Contaminated cutting) ปลูกในแปลงและความเสียหายอาจรุนแรงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ความเสียหายจากโรคใบไหม้ในประเทศไทยจัดอยู่ในระดับปานกลาง
- ลักษณะอาการ
- การสังเกตอาการเมื่อใช้ท่อนพันธุ์ที่ติดโรคมาปลูก
- การแพร่ระบาด
- การป้องกันกำจัด
1. ใช้พันธุ์ต้านทาน พันธุ์ที่แนะนำในปัจจุบัน มีความต้านทานต่อโรคปานกลาง
2. ใช้ท่อนพันธุ์ที่ปราศจากเชื้อ
3. ปลูกพืชอายุสั้นเป็นพืชหมุนเวียน หรือหลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังในแปลงที่ระบาดรุนแรงนาน 6 เดือน
23 มิถุนายน 2551
การพัฒนาพันธุ์ฝ้ายสีธรรมชาติเพื่อหัตถกรรมสิ่งทอ
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ผ้าฝ้ายทอมือตากฟ้า
ผลแห่งความสำเร็จจากงานวิจัย ของศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ในปี 2544 ส่งผลให้ฝ้ายพันธุ์ใหม่ ที่มีเส้นใยยาวในชื่อว่า “ตากฟ้า 2” ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
แต่กลับไม่ได้รับการต้อนรับที่ดี เมื่อราคารับซื้อฝ้ายในปีนั้นต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้มีแนวความคิดที่สอดคล้องกันจากบุคคลหลายฝ่ายที่จะนำฝ้ายพันธุ์ใหม่นี้ มาปั่นเป็นเส้นด้ายด้วยมือและนำไปทอเป็นผืนผ้า เพื่อยกระดับมูลค่าของผลผลิต โดยได้รับความช่วยเหลือและร่วมมือร่วมใจกันจากสมาคมอุตสาหกรรมฝ้ายไทย พัฒนาชุมชนอำเภอตากฟ้า และโครงการฝ้ายแกมไหมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้เกิดกระบวนการผลิต “ผ้าฝ้ายทอมือตากฟ้า” ขึ้นมา โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนของการปลูกฝ้าย การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวปุยฝ้าย จนกระทั่งการนำปุยฝ้ายไปหีบเพื่อแยกปุยออกจากเมล็ด
จากนั้นจึงนำปุยฝ้ายที่ได้ไปทำการปั่นเป็นเส้นด้ายด้วยเครื่องเมเดลรีจักราที่พัฒนาโดยโครงการฝ้ายแกมไหม จากเส้นด้ายนำไปสู่กระบวนการทอเป็นผืนผ้า เป็นการสร้างงานให้กับชุมชนในหลายหมู่บ้านของหลายอำเภอ ในจังหวัดนครสวรรค์
จากการผลิตที่ชุมชนมีส่วนร่วม และด้วยความสวยงามของผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ผ้าฝ้ายทอมือตากฟ้า ได้รับการคัดสรรให้เป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ระดับ 5 ดาว ประจำจังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นกระบวนการปั่นเส้นด้ายจากพันธุ์ฝ้ายเส้นใยยาว “ตากฟ้า 2“ โดยเครื่องเมเดลรีจักราก็เป็นที่รู้จัก ได้รับการยอมรับ และแพร่หลายจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหลายหมู่บ้าน หลายตำบล หลายอำเภอ และหลายจังหวัด แต่พื้นที่การปลูกฝ้ายพันธุ์นี้กลับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ความต้องการเส้นใยจากฝ้าย
ถึงแม้ว่าฝ้ายจะยังคงเป็นพืชเส้นใยที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการใช้เป็นวัตถุดิบหลัก สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอภายในประเทศ ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันสิ่งทอจากเส้นใยประดิษฐ์จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่สิ่งทอจากฝ้ายซึ่งเป็นเส้นใยธรรมชาติก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดเช่นเดิม และยังขยายไปสู่หัตถกรรมสิ่งทอพื้นบ้านที่ทำรายได้ให้แก่ชุมชนในรูปของหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แต่พื้นที่การปลูกฝ้ายของประเทศกลับลดลงมาโดยตลอด ส่งผลให้ผลผลิตฝ้ายของประเทศในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการใช้ภายในประเทศ ทำให้ไทยติดลำดับหนึ่งในสิบของประเทศผู้นำเข้าฝ้ายมากที่สุดเของโลก โดยในปี 2550 มีการนำเข้าฝ้ายถึง 398,840 ตัน คิดเป็นมูลค่า 18.86 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาสำคัญคือแมลง โดยเฉพาะหนอนเจาะสมอฝ้าย ทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชชนิดอื่น เข่น อ้อย และ มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกและดูแลรักษาง่ายกว่า แต่ให้
ผลตอบแทนที่สูงกว่า
เพิ่มคุณค่าฝ้ายไทย...การพัฒนาพันธุ์ฝ้ายสีธรรมชาติ
ดังนั้นสิ่งที่จะจูงใจให้เกษตรกรหันกลับมาปลูกฝ้ายจึงควรมุ่งไปที่การพัฒนาพันธุ์ฝ้ายเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิต และสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ หรือหัตถกรรมสิ่งทอที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สวยงาม และมีความทันสมัยดึงดูดใจผู้บริโภค
ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์จึงได้ดำเนินการพัฒนาพันธุ์ฝ้ายของไทยให้มีคุณภาพเส้นใยที่ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่สีตามธรรมชาติของเส้นใย สำหรับเป็นทางเลือกใหม่ในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตฝ้ายให้แก่เกษตรกร และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตลอดจนยกระดับหัตถกรรมสิ่งทอของไทยให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการลดมลภาวะน้ำเสียที่เกิดจากการฟอกย้อม โดยทำการผสมพันธุ์ฝ้ายตากฟ้า 2 กับพันธุ์ฝ้ายเส้นใยสีเขียว เป็นคู่ผสมที่1 และทำการผสมพันธุ์ฝ้ายตากฟ้า 2 กับพันธุ์ฝ้ายเส้นใยสีน้ำตาล เป็นคู่ผสมที่ 2 ในปี 2543 และทำการผสมกลับ 4-5 ชั่ว ระหว่างปี 2545-2546 โดยในการผสมกลับแต่ละครั้งจะทำการเก็บเกี่ยวเฉพาะต้นที่มีลักษณะคล้ายพันธุ์ตากฟ้า 2 แต่ให้เส้นใยสีเขียวในคู่ผสมแรก และ ให้เส้นใยสีน้ำตาลในคู่ผสมที่ 2 จากนั้นทำการปลูกคัดเลือกเพื่อให้ได้ฝ้ายสายพันธุ์ใหม่ ที่มีลักษณะเหมือนพันธุ์ตากฟ้า 2 แต่โดดเด่นกว่า คือมีเส้นใยสีเขียว 1 พันธุ์ และสีน้ำตาลอีก 1 พันธุ์ เพื่อนำไปประเมินผลผลิต และการยอมรับของเกษตรกรตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ของกรมวิชาการเกษตร ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาเป็นพันธุ์รับรองของกรมวิชาการเกษตร เพื่อแนะนำและเผยแพร่ให้แก่เกษตรกรต่อไป
ในระหว่างที่ขั้นตอนการพัฒนาพันธุ์ยังไม่สิ้นสุด กระบวนการทดสอบความต้องการของตลาด และการยอมรับในฝ้ายเส้นใยสีเขียว และสีน้ำตาล สำหรับหัตถกรรมสิ่งทอก็ได้ดำเนินการควบคู่กันไปกับการพัฒนาพันธุ์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้รับกลับมาปรับปรุงแก้ไข สำหรับพัฒนาพันธุ์ฝ้ายให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด ด้วยการนำผลผลิตฝ้ายที่ได้มาจากการคัดเลือกปีแล้วปีเล่า ทั้งฝ้ายเส้นใยเขียว และฝ้ายเส้นใยน้ำตาลไปมอบให้แก่กลุ่มผู้ผลิตหัตถกรรมสิ่งทอ เพื่อนำไปทดลองปั่นเป็นเส้นด้าย และนำเส้นด้ายไปทอเป็นลวดลาย หรือเป็นผืนผ้าต่อไป
เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือด้วยการออกร้านเดินสายทั่วประเทศในรูปของ OTOP ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้กลุ่มผู้ทอผ้ามีความตื่นตัวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง ให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร แต่ในขณะเดียวกันก็มีการรวมตัวเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สวยงาม ทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์แห่งความเป็นผ้าฝ้ายทอมือตามธรรมชาติ เริ่มตั้งแต่เสน่ห์จากการปั่นเส้นด้ายหรือการเข็นฝ้ายที่ยังคงสืบทอดประเพณีอยู่ในหลายจังหวัดทางภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน การแลกเปลี่ยนความรู้ในขบวนการอิ้ว เพื่อแยกเอาปุยฝ้ายออกจากเมล็ด จากนั้นนำปุยฝ้ายไปผึ่งแดด แล้วจึงดีดปุยฝ้ายให้ฟูด้วยไม้ธนู และนำมาม้วนเป็นลูกหลี เพื่อส่งให้ฝ่ายเข็นฝ้ายทำหน้าที่เข็นด้วยเครื่องมือโบราณที่เรียกว่า“ ไน “ ให้ปุยฝ้ายจากก้อนลูกหลีกลายเป็นเส้นด้ายที่เรียบ ละเอียด สวยงาม ก่อนที่จะนำมาทอเป็นผืนผ้าที่มีลวดลายงดงาม
ในช่วงที่ผ้าฝ้ายทอมือกำลังได้รับความนิยม จึงเป็นโอกาสอันดีที่ฝ้ายเส้นใยเขียว และฝ้ายเส้นใยน้ำตาลจะสามารถเข้ามาสร้างสีสรรที่เป็นเสน่ห์แห่งสีของเส้นใยฝ้ายที่ได้ตามธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีในการฟอกย้อม ให้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือจากเส้นใยฝ้ายสีธรรมชาติ ทำให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ผลิตหัตถกรรมสิ่งทอ เปอร์เซ็นต์การตอบรับของผู้ผลิตจึงค่อนข้างดี เนื่องจากปัญหาของกลุ่มผู้ผลิตคือไม่สามารถผลิตผ้าทอจากฝ้าย 100 เปอร์เซ็นต์ ได้เนื่องมาจากประการแรก ขาดแคลนเส้นใยฝ้ายเพราะขาดผู้ปลูกฝ้าย และประการที่สองไม่มีเมล็ดพันธุ์ฝ้าย ดังนั้นเมื่อมีการนำเส้นใยฝ้ายสีธรรมชาติมาเสนอถึงแหล่งที่ต้องการ ผู้ใช้ก็ย่อมพอใจเป็นธรรมดา และนักวิจัยก็ปลื้มใจที่ผลงานได้รับการต้อนรับ เนื่องจากผู้ใช้กำลังขาดแคลนวัตถุดิบพอดี เมื่อความต้องการของทั้งสองฝ่ายมาพ้องกัน จากเหตุอันจะนำไปสู่ผล จึงทำให้ได้แนวคิดและแนวทางการพัฒนาพันธุ์ฝ้าย ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคที่มักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา เนื่องจากมีกลุ่มผู้ผลิตหัตถกรรมสิ่งทอจำนวนมาก จึงมีการแข่งขันกันสูงตามไปด้วย
ฝ้ายในวันนี้อาจเป็นพืชที่ดูแลรักษายากเกินไปเมื่อปลูกในพื้นที่มากกว่า 5 ไร่ และให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับพืชไร่ชนิดอื่น แต่ในอนาคตการปลูกฝ้ายแปลงเล็กๆ เพียงไม่กี่ไร่ของกลุ่มผู้ผลิตหัตถกรรมสิ่งทอ แต่ละกลุ่ม สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผ้าฝ้ายทอมือสีธรรมชาติ อันมีลวดลายสดสวย งดงาม ที่มีสีเขียวของเส้นใยฝ้ายจากธรรมชาติ สอดสลับกับสีน้ำตาลธรรมชาติ น่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกฝ้ายกันอีกครั้งด้วยจุดประสงค์และมุมมองที่เปลี่ยนไป
19 มิถุนายน 2551
ฝ้ายเส้นใยสั้น
ที่เรียกว่าฝ้ายเส้นใยสั้นนั้น เรียกกันตามความยาวของเส้นใยฝ้ายนั่นเอง โดยที่ ฝ้ายเส้นใยสั้น หมายถึง ฝ้ายที่มีความยาวของเส้นใยประมาณ 1 นิ้ว หรือ ต่ำกว่า 1 นิ้ว
การนำไปใช้ประโยชน์
เหมาะแก่การนำไปผลิตเป็นผ้าทอมือ เนื่องจากสะดวก และ ง่ายต่อการดีดให้ฟู แล้วปั่นเป็นเส้นด้าย ในกรณีที่ไม่มีเครื่องจักร
พันธุ์ฝ้ายเส้นใยสั้น
มีด้วยกันหลายพันธุ์ แต่ที่เกษตรกรนิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์ตุ่นน้ำตาล ตุ่นขาว ตุ่นนวล พวงมะไฟ และพันธุ์พื้นเมือง เป็นต้น ซึ่งพันธุ์เหล่านี้มีอายุค่อนข้างยาว สามารถทะยอยเก็บผลผลิตปุยได้นานถึง 8 เดือน
ลักษณะที่ดีของฝ้ายเส้นใยสั้น
คุณสมบัติที่น่าสนใจของพันธุ์ฝ้ายเส้นใยสั้น คือ ที่ใบมักจะมีขน จึงทำให้ทนต่อการเข้าทำลายของโรคและแมลง โดยเฉพาะแมลงจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยจักจั่น นอกจากนี้ยังทนต่อสภาพการฉ่ำน้ำของดินทราย
ในด้านการดูแลรักษาค่อนข้างง่าย มีการดูแลน้อยกว่าฝ้ายเส้นใยยาว หรือ ฝ้ายที่เส้นใยยาวปานกลาง ( เช่น ฝ้ายพันธุ์ศรีสำโรง 60 ศรีสำโรง 2 และ ตากฟ้า 2)
อย่างไรก็ตามผลลิตของฝ้ายเส้นใยสั้นมักจะไม่สูงนัก ผลผลิตจะต่ำกว่าฝ้ายเส้นใยยาวปานกลาง หรือ ฝ้ายเส้นใยยาว
การปลูกฝ้าย
โดยทั่วไป ชาวบ้านนิยมปลูกกันตามหัวไร่ ปลายนา ในพื้นที่ขนาดเล็ก แต่ถ้าหากจะปลูกเป็นแปลงใหญ่ อาจจะมีปัญหาการระบาดของแมลง จึงต้องมีอุปกรณ์ และแรงงานเพียงพอสำหรับการพ่นสารกำจัดแมลง โดยเฉพาะแมลงหวี่ขาว
ฤดูปลูกที่เหมาะสม
อยู่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม- กรกฎาคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฝน เก็บเกี่ยวประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
วิธีการปลูก
ควรปลูกเป็นแถวเพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา เนื่องจากฝ้ายเส้นใยสั้นมีทรงพุ่มที่ค่อนข้างใหญ่ จึงมีระยะปลูกระหว่างหลุมประมาณ 80 ซ.ม. ระยะระหว่างแถว 150 ซ.ม. หยอดเมล็ดหลุมละ 3-5 เมล็ด (ใช้เมล็ด 1.5 ก.ก ต่อไร่)
หลังจากงอกได้ 20 วัน ถอนแยกให้เหลือ 2 ต้นต่อหลุม เมื่อฝ้ายอายุครบ 1 เดือน จึงถอนแยกให้เหลือ 1 ต้นต่อหลุม
ในระยะแรกของการปลูกจะมีปัญหาเรื่องวัชพืชมาก จึงต้องกำจัดวัชพืชในช่วงแรก
การใส่ปุ๋ย
ใส่เมื่อฝ้ายมีอายุ 1 เดือน อาจใช้ปุ๋ยเคมี (สูตร 15-15-15 อัตรา 50 ก.ก. ต่อไร่) ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก ก็ได้ ใส่เพียงครั้งเดียว หากใส่มากจะทำให้ลำต้นฝ้ายอวบ แมลงเข้าทำลายได้ง่าย
การกำจัดวัชพืช
กำจัดในช่วงแรกของการเจริญเติบโต โดยใช้แรงคนดายด้วยจอบ หลังจากนั้นจึงใส่ปุ๋ย
17 มิถุนายน 2551
การปลูกมันสำปะหลังข้ามปี
วีรวัฒน์ นิลรัตนคุณ
การเพิ่มผลผลิตและปริมาณแป้งโดยการปลูกมันสำปะหลังข้ามปี
- ปลูกมันสำปะหลังข้ามปีเพิ่มผลผลิตได้อย่างไร
การปลูกมันสำปะหลังในช่วงต้นฤดูฝน แล้วมาเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้ง มันสำปะหลังมีโอกาสได้รับน้ำฝนเพียง 5-6 เดือนเท่านั้น ทำให้ผลผลิตไม่สูงเท่าที่ควร ถ้ามีการจัดระบบการผลิตใหม่ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ โดยปล่อยไว้ในแปลงข้ามปีทั้งช่วงฤดูแล้งและฤดูฝนของปีถัดไป มันสำปะหลังจะได้รับปริมาณน้ำฝนมากขึ้นอีกประมาณ 8 เดือน ผลผลิตจะสูงกว่าการปลูกมันสำปะหลังปีเดียวถึง 2.5 เท่าเป็นอย่างต่ำ
การผลิตมันสำปะหลังข้ามปีโดยทำการเก็บเกี่ยวที่อายุ 16-18 เดือน นอกจากจะให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกมันสำปะหลังปีเดียวแล้วที่สำคัญยังช่วยลดต้นทุนการเตรียมดิน การปลูก การกำจัดวัชพืชในปีที่ 2 ได้อีกด้วย
ภาพที่ 1 ก. และ ข. หัวมันสำปะหลังที่อายุ 18 เดือน
- ปริมาณแป้งในหัวมันสำปะหลังที่ปลูกข้ามปี
ในส่วนของปริมาณแป้งในหัวสดจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของเดือนที่เก็บเกี่ยว โดยมีปริมาณแป้งสูงที่สุดในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ในเดือนมีนาคมมันสำปะหลังเริ่มแตกยอดทำให้ปริมาณแป้งลดลง และมีปริมาณต่ำสุดในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นปริมาณแป้งจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น แม้ในช่วงเดือนกันยายนที่มีฝนตกหนัก ยังมีปริมาณแป้งสูงถึง 25 % และปริมาณจะขึ้นสูงสุดที่เดือนกุมภาพันธ์อีกครั้ง
30 พฤษภาคม 2551
วัตถุอันตรายปลอม
- ชื่อการค้า ไกลโฟเซต 48 ชื่อสามัญ ไกลโฟเซต อัตราส่วนสารออกฤทธิ์ 48% W/V SL ทะเบียนเลขที่ 521/2548 ผู้จัดจำหน่าย บริษัท ยูคอนอะโกร จำกัด ไม่ระบุชื่อผู้ผลิต
- ชื่อการค้า ไกลโฟเซต 48 ชื่อสามัญ ไกลโฟเซต อัตราส่วนสารออกฤทธิ์ 48% W/V SL ทะเบียนเลขที่ 2989/2549 ผู้ผลิต บริษัท อัลฟ่าอะโกรเทค จำกัด ผู้จัดจำหน่าย บริษัท นูคอลอะโกรเทค จำกัด
- ชื่อการค้า ไกลโฟเซต 48 ชื่อสามัญ ไกลโฟเซต อัตราส่วนสารออกฤทธิ์ 48% W/V SL ทะเบียนเลขที่ 2975/2549 ผู้ผลิต บริษัท อัลฟ่าอะโกรเทค จำกัด ผู้จัดจำหน่าย บริษัท พี.เค.ซี. จำกัด
- ชื่อการค้า ไกลโฟเซต 48 ชื่อสามัญ ไกลโฟเซต อัตราส่วนสารออกฤทธิ์ 48% W/V SL ทะเบียนเลขที่ 1572/2544 ผู้ผลิต บริษัท อัลฟ่าอะโกรเทค จำกัด ผู้จัดจำหน่าย บริษัท พี.เค.ซี. เคมีคอล จำกัด
- ชื่อการค้า พาราควอท ชื่อสามัญ พาราควอท คลอไรด์ อัตราส่วนสารออกฤทธิ์ 27.6% W/V SL ทะเบียนเลขที่ 2950/2549 ผู้ผลิต บริษัท อัลฟ่าอะโกรเทค จำกัด ผู้จัดจำหน่าย บริษัท นูคอลอะโกรเทค จำกัด
26 พฤษภาคม 2551
พิษของสารกำจัดวัชพืชบางชนิดต่อมันสำปะหลัง
การปลิวของละอองสารกำจัดวัชพืชจากแหล่งที่มีการพ่นสารไปสู่พื้นที่ข้างเคียง ที่พบเป็นปัญหามากเป็นการปลิวของละอองสารกำจัดวัชพืชจากไร่อ้อย และจากการใช้สารกำจัดวัชพืชในไร่ข้าวโพด แล้วปลิวไปสู่แปลงที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ก่อให้เกิดปัญหากับพืชใบกว้างชนิดอื่นๆ มันสำปะหลัง เป็นพืชที่ได้รับผลกระทบ และได้รับความเสียหายมาก
สารกำจัดวัชพืชที่มักจะก่อให้เกิดปัญหาต่อมันสำปะหลังและพืชใบกว้างชนิดอื่น และมีผลต่อการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง มีดังต่อไปนี้
2,4-ดี
ความเป็นพิษต่อมันสำปะหลัง
ทำให้มันสำปะหลังใบยอดไม่เจริญ ใบเหลือง ใบไหม้ กิ่งบวม กิ่งแตก ยอดแห้งตาย ระดับความเสียหายขึ้นกับปริมาณสารที่ได้รับ อาการผิดปกติในมันสำปะหลังที่มีรูปแบบจำเพาะ (Typical symptom) ที่เป็นผลมาจาก 2,4-ดี และสารกำจัดวัชพืชในกลุ่ม growth regulator คือ ก้านใบบิดทำให้ใบพลิกหงายขึ้น มุมระหว่างก้านใบกับลำต้นแคบลงกว่าปกติทำให้ก้านใบลู่ลงเกือบแนบลำต้น ส่วนยอดโค้ง กิ่งบวม และมีรอยแตกตามยาวลำต้น
ภาพที่ 1 : (2,4-ดี) ทำให้ยอดบิด โค้งงอ
ภาพที่ 2: (2,4-ดี) ใบยอดไม่คลี่
ภาพที่ 3: (2,4-ดี) ใบเหลือง ใบไหม้ ร่วง ก้านใบลู่ลง
ภาพที่ 4: (2,4-ดี) ยอดไหม้ กิ่งบวม มีรอยแตกตามยาวของกิ่ง หรือลำต้น
อามีทริน
ความเป็นพิษต่อมันสำปะหลัง
ทำให้มันสำปะหลังใบเหลือง จนถึงใบไหม้ โดยอาการเริ่มจากขอบใบเข้ามาหาเส้นกลางใบ ถ้าได้รับสารปริมาณมากทำให้ใบไหม้เป็นสีน้ำตาลแดง ต้นตายได้ มันสำปะหลังจะอ่อนแอต่อสารอามีทรินในระยะที่แตกใบหลังงอกจนอายุประมาณสองถึงสามเดือน มันสำปะหลังต้นโตหากได้รับละอองสารในปริมาณมากจะทำให้ใบไหม้ ใบร่วงทั้งต้น แต่สามารถแตกใบใหม่ได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน ดินที่มีละอองสารอามีทรีนปกคลุมอยู่ในปริมาณมาก เมื่อฝนตกลงมาสารจะซึมลงดิน รากจะดูดซึมขึ้นมา ทำให้มันสำปะหลังเกิดอาการใบไหม้โดยเริ่มจากใบล่างขึ้นมาใบบน
ภาพที่ 5 (อามีทริน) ทำให้ใบเหลืองซีด
ภาพที่ 6 : (อามีทริน) ถ้ามันสำปะหลังได้รับสารปริมาณมากจะทำให้ใบไหม้จากขอบใบเข้ามาหาเส้นกลางใบ
ภาพที่ 7: (อามีทริน) มันสำปะหลังได้รับสารอามีทรินในปริมาณมาก ทำให้ใบไหม้
อทราซีน
ความเป็นพิษต่อมันสำปะหลัง
มีผลทำให้มันสำปะหลังใบเหลือง จนถึงใบไหม้ โดยอาการเริ่มจากขอบใบเข้ามาหาเส้นกลางใบ ถ้าได้รับปริมาณมากจะทำให้ใบไหม้ ต้นตาย มันสำปะหลังจะอ่อนแอต่อสารอทราซีนในระยะที่แตกใบหลังงอกจนอายุประมาณสองถึงสามเดือน
ภาพที่ 8: (อทราซีน) ทำให้ใบมันสำปะหลังเหลืองซีด ถ้าได้รับปริมาณมากทำให้ใบไหม้ ลักษณะคล้ายกับอาการที่เกิดจากการได้รับสารอามีทริน
ไกลโฟเซท
ความเป็นพิษต่อมันสำปะหลัง
ต้นมันสำปะหลังที่ได้รับสาร ทำให้ใบมีขนาดเล็กลงมาก แผ่นใบแต่ละหยักจะแคบลง มีลักษณะเรียวเล็กเป็นเส้น และบิด ต้นแคระแกร็น โตไม่ทันต้นอื่น
ภาพที่ 9: (ไกลโฟเซท) ทำให้ใบเรียวเล็ก คล้ายเชือก
ภาพที่ 10: (ไกลโฟเซท) ต้นมันสำปะหลังแคระแกร็น (ต้นด้านซ้ายมือ) โตไม่ทันต้นอื่น
ภาพที่ 11 (ไกลโฟเซท) หยักใบเรียวเล็ก
พาราควอท
ความเป็นพิษต่อมันสำปะหลัง
การได้รับสารพาราควอทในอัตราเข้มข้น มีผลทำให้มันสำปะหลังเกิดจุดตาย (necrotic) บนใบ หากพ่นโดนส่วนยอดเจริญทำให้ยอดและใบแห้งตาย การใช้สารพาราควอทในไร่มันสำปะหลังควรพ่นเมื่อลมสงบ กดหัวพ่นให้ต่ำ การใช้เครื่องพ่นแบบแรงดันมีผลทำให้สารฟุ้งกระจายสัมผัสส่วนต่างๆ ของพืชได้มาก
ภาพที่ 12 (พาราควอท) การใช้พาราควอทในไร่เกษตรกรโดยวิธีการที่ไม่เหมาะสม ในขณะทีลมแรง ทำให้มันสำปะหลังใบแห้งตาย
ภาพที่ 13 (พาราควอท) ส่วนของพืชที่ได้รับสารแสดงอาการไหม้
ภาพที่ 14 (พาราควอท) มันสำปะหลังกำลังแตกยอดใหม่ จากส่วนโคนของกิ่งที่แห้งตาย