27 ธันวาคม 2553

คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2553 นายชัยโรจน์ มีแดง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานในพิธีเปิดคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงเรียนหลัก 19 ต.อุดมธัญญา อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เข้าร่วมจัดนิทรรศการด้านพืช พันธุ์พืช และตอบปัญหาด้านการผลิตพืช ให้แก่เกษตรกร มีเกษตรกรมาขอรับบริการที่คลินิกพืช 85 ราย


21 ธันวาคม 2553

ชมทุ่งทานตะวันบาน...ที่อำเภอตากฟ้า

สัมผัสความงามของทุ่งทานตะวัน ช่วง ธันวาคม 53 ถึง มกราคม 54



ดอกทานตะวัน เริ่มทะยอยบานตั้งแต่เดือนพฤศจิการยน จนไปถึงปลายเดือน ธันวาคม
ทุ่งทานตะวัน กระจายอยู่ทั่วไปทุกตำบล ที่ปลูกมาก มีพื้นที่ติดต่อกันจนเป็นทุ่งทานตะวันกว้าง ได้แก่ ที่ ตำบลพุนกยูง ตำบลลำพยนต์ และตำบลสุขสำราญ

ในปีนี้ ทุ่งดอกทานตะวัน อำเภอตากฟ้า มีพื้นที่ ประมาณ 18,000 ไร่ กระจายอยู่ 7 ตำบล ซึ่งพื้นที่ปลูกลดลงกว่าปีที่แล้วกว่าครึ่ง เนื่องจากความแปรปรวนของธรรมชาติที่มีฝนตกชุกเกินไป ทำให้เกษตรกรปลูกไม่ทันฤดูกาล

แต่ความสวยงามของดอกทานตะวันไม่ได้ลดน้อยลงไปแต่อย่างไร ยังคงสวยงามและรอคอยการมาเยือน สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่หลงไหลในความงามของธรรมชาติ

จุดชมวิวทุ่งทานตะวัน


เส้นทางหลักเข้าอำเภอตากฟ้า จ.นครสวรรค์
1.ถนนพหลโยธิน (หมายเลข1) จากแยกชัยนาทถึงตากฟ้า ประมาณ 40 กม.
2.ถนนเส้นเขาทราย-อินทร์บุรี (หมายเลข1) จากแยกอินทร์บุรี ถึงตากฟ้า ประมาณ 40 กม.
3.ถนนจากนครสวรรค์ไปอำเภอท่าโก แยกเข้าอำเภอตากฟ้า ถนน 1145 ถึงตากฟ้า ประมาณ 75 กม.

เส้นทางชมทุ่งทานตะวันตากฟ้า
1.ถนนพหลโยธิน (ตาคลี-โคกสำโรง) มรทางแยกเข้าหมู่บ้านหนองไทร หมู่ที่ 6 และบ้านธารสัมฤทธิ์ หมู่ที่ 3 ตำบลเขาชายธง ห่างจากที่ว่าการอำเภอตากฟ้า 5 กม.
2.ถนนสายตากฟ้า อ.ท่าตะโก ไปนครสวรรค์ ระยะทาง 5 กม. ผ่านทุ่งทานตะวันพุนกยูงมีพื้นที่ติดต่อกันเป็นบริเวณกว้างสวยงาม
3.จากแยกเกษตรชัย ต.สุขสำราญ ไป อ.ไพศาลี ผ่านทุ่งทานตะวันสุขสำราญ มีให้ชมสองข้างทาง เลี้ยวซ้ายเข้าบ้านหนองยาว หมู่ที่7 เยี่ยมชมสวนพุทรา 3 รส ซื้อเป็นของฝาก ของดีราคาถูก ขับรถเลยทะลุออกเส้นทางหมายเลข 11 (อินทร์บุรี-เขาทราย)
4.แยกซอย 4 บ้านน้ำวิ่ง ต.ลำพยนต์ เข้าบ้านซับตะเคียน และบ้านพุลำไย หมู่ที่4 ห่างจากอำเภอประมาณ 12 กม. ชมทุ่งทานตะวันลำพยนต์
5.แยกบ้านสุขสำราญ เข้า อบต.สุขสำราญ ด้านในมีไร่ทานตะวันหลายแปลงให้ชม เลยหมู่บ้านเลี้ยวซ้ายเข้าชมทุ่งทานตะวันลำพยนต์ ทะลุออกซอย 5 บ้านน้ำวิ่ง
6.เข้าซอย 5 บ้านน้ำวิ่ง เข้าไปอีกประมาณ 2 กม. จะพบทุ่งทานตะวันลำพยนต์และสุขสำราญติดต่อกันเป็นบริเวณกว้าง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ที่ว่าการอำเภอตากฟ้า โทร. 0-5624-1322 และ
สำนักงานเกษตรอำเภอตากฟ้า โทร. 0-5624-1387

17 ธันวาคม 2553

นักวิจัยจีนดูงานศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์


เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ให้การต้อนรับ Dr. Fan Xingming Director General, Institute of Food Crops, Yunnan academy of Agriculture Sciences พร้อมด้วยนักวิจัยอีก 2 รายจากหน่วยงานเดียวกัน ได้แก่ Associate Prof. Dr. Liu Li และ Ms. Xie Xinting ซึ่งเดินทางมาจากมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อมาดูงานและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านวิชาการ ที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ภายใต้โครงการร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ ไทย-จีน เรื่อง การปรับปรุงพันธุ์และการขยายพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมทนทานแล้ง (Hybrid Maize Breeding and Dissemination for Drought Tolerance) โดยมีคณะนักวิชาการเกษตรของศูนย์ฯ ร่วมต้อนรับ บรรยายสรุปการดำเนินงานวิจัยของศูนย์ฯ และพาชมแปลงทดลอง

9 ธันวาคม 2553

อาการผิดปกติของมันสำปะหลังที่เกิดจากสารกำจัดวัชพืช

เกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังที่มีพื้นที่ใกล้กับเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่น โดยเฉพาะอ้อย มักประสบปัญหาการปลิวของละอองสารกำจัดวัชพืชจากแปลงข้างเคียง ทำให้มันสำปะหลังเกิดอาการผิดปกติ
ในที่นี้ได้รวบรวมลักษณะอาการผิดปกติของมันสำปะหลังที่เกิดจากการได้รับสารกำจัดวัชพืชชนิดที่เป็นปัญหา เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยแก่นักวิชาการ หรือผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องต่อไป

พาราควอท
ส่วนใหญ่การกำจัดวัชพืชโดยใช้พาราควอทไม่ค่อยเป็นปัญหาต่อมันสำปะหลังนัก หากพ่นอย่างระมัดระวัง แต่ก็พบเกิดขึ้นบ้างในเกษตรกรบางราย อาการที่พบเมื่อมันสำปะหลังได้รับสาร ใบจะเกิดจุดตายสีขาว บางครั้งจุดตายลามติดกันหากได้รับสารมาก (ภาพที่ 1 และ 2)
ภาพที่ 1

ภาพที่ 2


ไกลโฟเสท
หากมันสำปะหลังได้รับสารขณะต้นยังเล็ก จะทำให้แคระแกร็น หยักใบแคบลง เรียวเป็นเส้น (ภาพที่ 3 และ 4)

ภาพที่ 3


ภาพที่ 4


ไดยูรอน
เกษตรกรส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าไดยูรอนไม่เป็นพิษต่อมันสำปะหลัง เนื่องจากในฉลากแนะนำให้ใช้กำจัดวัชพืชในไร่มันสำปะหลัง แต่หากใช้ไม่ถูกช่วงเวลา เช่น พ่นในแปลงมันสำปะหลัง หลังจากที่มันสำปะหลังแตกใบแล้ว หรือ ใช้ในปริมาณที่มากเกินคำแนะนำ จะมีผลต่อมันสำปะหลังได้ นอกจากนี้มันสำปะหลังที่ปลูกใกล้กับไร่อ้อยที่มีการพ่นไดยูรอนเพื่อกำจัดวัชพืช  ก็มีความเสี่ยงที่มันสำปะหลังจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก (ภาพที่ 5,6,7 และ 8)

ภาพที่ 5

การพ่นไดยูรอนเพื่อควบคุมวัชพืชก่อนงอก แต่พ่นหลังจากต้นมันสำปะหลังแตกใบแล้ว จะทำให้มันสำปะหลังใบเหลือง ใบไหม้

ภาพที่ 6

การพ่นไดยูรอนเพื่อควบคุมก่อนวัชพืชงอก หากใช้ปริมาณมากเกินไป ไดยูรอนที่ตกค้างในดินจะถูกรากมันสำปะหลังดูดขึ้นมา ทำให้มันสำปะหลังเกิดอาการใบไหม้ โดยบางใบจะเห็นเส้นใบเป็นสีขาว

ภาพที่ 7

ใบแก่จะเห็นเส้นใบเป็นสีขาวชัดเจน ในต้นที่รากดูดซึมไดยูรอนขึ้นมา

ภาพที่ 8

พื้นที่ของเกษตรกรบางรายมีปัญหาวัชพืชขึ้นหนาแน่น จึงคิดว่าการพ่นสารในปริมาณมาก จะทำให้ควบคุมวัชพืชได้นาน จึงใช้ไดยูรอนในปริมาณมาก เช่น 5 เท่า ของอัตราแนะนำ สารไดยูรอนจะตกค้างในดินนานเกือบ 6-7 เดือน รากจะดูดสารขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใบมันสำปะหลังไหม้ บางครั้งต้นแห้งตาย ส่วนใหญ่จะพบการตายเป็นหย่อมในบริเวณที่มีสารตกค้างมาก

อทราซีน
มันสำปะหลังที่ได้รับสารอทราซีน ใบจะเหลือง หากได้รับสารในปริมาณมาก ใบจะไหม้ (ภาพที่ 9 และ 10)

ภาพที่ 9


ภาพที่ 10


อมิทริน
อาการผิดปกติหลังจากได้รับสารอมิทริน ใบจะเหลืองซีด จนถึงใบไหม้สีน้ำตาลแดง (ภาพที่ 11,12 และ 13)

ภาพที่ 11


ภาพที่ 12


ภาพที่ 13


ทูโฟดี (2-4, D)
อาการที่เกิดกับมันสำปะหลังเมื่อได้รับสารทูโฟดี มีหลายแบบ ทั้งใบไหม้ และการเจริญที่ผิดปกติ ขึ้นกับปริมาณสารที่ได้รับ อาการจำเพาะของมันสำปะหลังที่ได้รับสารทูโฟดี ได้แก่ อาการใบบิดพลิก กิ่งบวม ลำต้นบวมแตก (ภาพที่ 14,15 และ 16)

ภาพที่ 14


ภาพที่ 15


ภาพที่ 16


นอกจากนี้  ยังพบอาการผิดปกติจากสาเหตุอื่น ที่คล้ายกับอาการที่เกิดจากสารอทราซีนและอมิทริน  ได้แก่ การขาดธาตุเหล็ก

ขาดธาตุเหล็ก (Fe deficiency)
มันสำปะหลังบางพันธุ์ เช่น ระยอง 7 และ ระยอง 9 เมื่อปลูกในดินชุดตาคลีซึ่งเป็นดินด่าง โดยเฉพาะในดินชุดตาคลีที่มีเม็ดปูนปะปนอยู่บนหน้าดิน ทำให้มันสำปะหลังมีอาการเหลืองซีดที่ใบยอด ในดินที่ด่างมากใบจะเหลืองทั้งต้น ใบจะไหม้จากล่างขึ้นมา ถึงยอดและทำให้ต้นตายได้ ซึ่งลักษณะความผิดปกติที่เกิดจากดินด่าง จะมีอาการคล้ายกับการได้รับสารอทราซีน และอมิทรินมาก ดังนั้นในการวินิจฉัยสาเหตุความผิดปกติ ควรสอบถามข้อมูลจากเกษตรกรให้ละเอียด ทั้งเรื่องดิน พันธุ์ที่ปลูก การใช้สารกำจัดวัชพืชของเกษตรกรเอง ชนิดของพืชปลูกข้างเคียง หรือมีการปลิวของละอองสารจากแปลงข้างเคียงหรือไม่ (ขาดธาตุเหล็ก ภาพที่ 17,18 และ 19)

ภาพที่ 17


ภาพที่ 18


ภาพที่ 19







8 ธันวาคม 2553

โรคเหี่ยวเขียวของแคนตาลูป

โรคเหี่ยวเขียวของแคนตาลูป และ แตง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Erwinia tracheiphila

อาการเริ่มแรก จะสังเกตเห็นใบที่อยู่ส่วนยอดของเถาเฉา ใบอ่อน ห่อลง ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้นก็จะลุกลามไปยังใบอื่น ๆ ในที่สุดก็จะเหี่ยวฟุบลงทั้งต้นหรือทั้งเถาอย่างรวดเร็ว ในสภาพที่มีลมพัดแรง ทำให้ต้นแคนตาลูปเกิดแผลจากการเสียดสีของเถากับเชือกพยุง ก็เป็นช่องทางให้เชื้อเข้าทำลายได้ง่ายขึ้น

วิธีตรวจสอบโรคเหี่ยวว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ ให้ใช้มีดที่คมตัดโคนลำต้นแคนตาลูป ให้ขาดออกจากกัน จากนั้น นำส่วนปลายทั้งสองด้านมาแตะกันเบาๆ ค่อยๆ แยกปลายออกจากัน จะเห็นเส้นเมือกของเชื้อแบคทีเรีย ระหว่างปลายทั้งสองด้าน (ภาพที่ 3)

การแพร่ระบาดจากต้นสู่ต้นในแปลงเกิดจาก แมลงจำพวกด้วงที่กัดกินต้นเป็นโรค แล้วไปกัดกินต้นอื่น ๆ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ต้นพืช

การควบคุมด้วงเต่า โดยการพ่นสารเคมี เช่น คาร์บาริล จะช่วยลดการระบาดของโรค นอกจากนี้เมื่อพบต้นเป็นโรค ให้ถอนไปทำลายนอกแปลงปลูก โรยปูนขาวลงในหลุมที่เป็นโรค ป้องกันกำจัดโรคในแปลงด้วยการพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชประเภทสารประกอบทองแดง เช่น คอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์ นอกจากนี้ป้องกันการแพร่เชื้อโรคโดยฆ่าเชื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในแปลง


ภาพที่ 1 อาการเริ่มแรก ใบเฉา อ่อนลง


ภาพที่ 2 ต้นแคนตาลูปเหี่ยวทั้งต้น


ภาพที่ 3 วิธีการวินิจฉัยโรคเหี่ยวเขียว

เนื้อหา