27 มีนาคม 2552

คลินิกเกษตรเคลื่อนที่..อ.โกรกพระ

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552 ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ได้เข้าร่วมให้บริการคลินิกพืช ในการจัดงานกิจฏรรมคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ณ วัดบางประมุง หมู่ที่ 5 ต.บางประมุง อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์ โดยมี นายศุภกิจ บุญญฤทธิพงษ์ ผวจ.นครสวรรค์ เป็นประธานในการเปิดงาน กิจกรรมการที่ให้บริการในคลินิกพืช มีดังนี้
1. จัดนิทรรศการด้านพืช พันธุ์พืช และ การป้องกันกำจัดศัตรูพืช
2. ให้คำแนะนำด้านการผลิตพืช และการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแก่เกษตรกร
3. แจกเอกสารวิชาการแก่เกษตรกร และผู้สนใจ
4. แนะนำพันธุ์มันสำปะหลัง ได้แก่ พันธุ์ระยอง 5 ระยอง 7 ระยอง 9 และ CMR35-22-196
5. สนับสนุนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังแก่เกษตรกร 4 พันธุ์ จำนวน 200 ต้น และ เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมนครสวรรค์ 3 จำนวน 20 ถุง ๆ ละ 3 กิโลกรัม
ผลการให้บริการในภาพรวมดังนี้
1) จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียนตามแบบคลินิก 01 = 500 ราย
2) จำนวนเกษตรกรที่เข้ารับบริการในคลินิกพืช = 87 ราย
3) จำนวนเกษตรกรที่ได้รับบริการแล้วเสร็จในวันเปิดคลินิก = 87 ราย


19 มีนาคม 2552

ข้อเท็จจริงกรณีมันสำปะหลังเปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ

เมื่อเร็วๆ นี้ นายมานิต อนรรฑมาศ นายอำเภอตากฟ้า ได้เชิญพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ หน่วยราชการในพื้นที่ ผู้ประกอบการลานมันสำปะหลัง และเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง จาก ต.หนองหลวง อ.ท่าตะโก และ ต.อุดมธัญญา อ.ตากฟ้า เพื่อร่วมหารือปัญหามันสำปะหลังเปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ ลานมันไม่รับซื้อ เกษตรกรขายหัวมันสำปะหลังไม่ได้ราคา ต้องขอให้หน่วยงานราชการเร่งช่วยเหลือ

สาเหตุที่ผู้ประกอบการลานมันไม่ต้องการรับซื้อหัวมันสำปะหลังในเขตพื้นที่ปลูกดังกล่าว เนื่องจากมันสำปะหลังมีเนื้อแป้งสีเหลืองฉ่ำน้ำ เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ เยื่อใยสูง โดยมาตรฐานการรับซื้อหัวมันสำปะหลังของลานมันที่ตั้งไว้ต้องมีแป้งไม่ต่ำกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อทราบถึงปัญหา นายอำเภอตากฟ้า และพาณิชย์จังหวัด ได้ขอความร่วมมือให้ลานมันช่วยซื้อหัวมันสำปะหลังของเกษตรกรที่มีแป้งไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้ขายหัวมันสำปะหลังได้ ด้วยราคาตันละ 900 บาท และราคาเพิ่มขึ้นลดลงตามเปอร์เซ็นต์แป้ง

นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ได้มอบหมายให้คณะนักวิชาการเกษตรของศูนย์ฯ เข้าตรวจสอบสภาพพื้นที่และพันธุ์มันสำปะหลังที่เกษตรกรเรียกว่า ระยอง 90 ในพื้นที่ ต.อุดมธัญญา อ.ตากฟ้า พบว่า มีเปอร์เซ็นต์แป้งของหัวมันสำปะหลังที่ทำการสุ่มวัดสูงสุด 26 เปอร์เซ็นต์ และต่ำสุด 19.85 เปอร์เซ็นต์ โดยพันธุ์มันสำปะหลังที่เกษตรกรปลูก มีเนื้อแป้งสีเหลือง ไส้กลวง ฉ่ำน้ำ หัวใหญ่ ผลผลิตดี ทนแล้ง ลำต้นตั้งตรง ไม่แตกกิ่ง เก็บต้นไว้ทำพันธุ์ได้ดี ลักษณะดินที่ปลูกเป็นดินทราย และ ดินร่วนปนทราย ผลการตรวจสอบพันธุ์มันสำปะหลังโดยคณะนักวิชาการเกษตรจากศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ และศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง พบว่า พันธุ์มันสำปะหลังที่เกษตรกรปลูกไม่ใช่พันธุ์ระยอง 90 แต่เป็นพันธุ์ที่นักวิชาการเกษตรได้เคยนำมาทำการทดสอบพันธุ์ในไร่เกษตรกร ซึ่งมีลักษณะทางเกษตรบางอย่างไม่ดี จึงไม่ได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตร แต่เกษตรกรชอบเนื่องจากเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง หัวใหญ่ ทนแล้ง เก็บต้นไว้ทำพันธุ์ได้ดี จึงปลูกเก็บไว้ทำพันธุ์กันต่อมาเป็นเวลาประมาณ 10 ปี โดยลักษณะของพันธุ์ที่เกษตรกรเรียกว่าระยอง 90 เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับพันธุ์ระยอง 9 แต่เนื้อแป้งมีสีเหลือง ฉ่ำน้ำ เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ ไม่เป็นที่ต้องการของโรงแป้ง ประกอบกับการปฏิบัติดูแลรักษาในการปลูกมันสำปะหลังของเกษตรกรไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากดินที่ปลูกมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ แต่เกษตรกรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 20 กก./ไร่ เท่านั้น ไม่มีการปรับปรุงบำรุงดินแต่อย่างไร

นายดาวรุ่ง คงเทียน นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางในการจัดการเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพแป้งของมันสำปะหลัง โดยแนะนำให้เกษตรกรเปลี่ยนมาปลูกพันธุ์ระยอง 9 ที่มีลักษณะของพันธุ์ใกล้เคียงกับพันธุ์เดิมที่เกษตรกรปลูก แต่มีเนื้อแป้งสีขาว ให้แป้ง 24 เปอร์เซ็นต์ ในฤดูฝน และให้แป้ง 28-31 เปอร์เซ็นต์ ในฤดูแล้ง ผลผลิตประมาณ 4.9 ตัน/ไร่ ดินที่ปลูกเป็นดินทราย ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ จึงแนะนำให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-7-18 อัตรา 100 กก./ไร่ และเพื่อให้การผลิตมันสำปะหลังมีความยั่งยืน เกษตรกรควรใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 1-2 ตันไร่ หรือร่วมกับการไถกลบซากต้นใบมันสำปะหลังสด 3 ตัน/ไร่ หรือร่วมกับปุ๋ยคอก 500 กก./ไร่

18 กุมภาพันธ์ 2552

"ตากฟ้า 3" ฝ้ายเส้นใยสั้นสีน้ำตาล

นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เปิดเผยถึงความสำเร็จด้านการพัฒนาพันธุ์พืชไร่พันธุ์ใหม่ของศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ที่มีผลงานอย่างต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน ได้มีการแนะนำพันธุ์ข้าวโพด ฝ้าย และถั่วเหลือง แก่เกษตรกรหลายพันธุ์ ล่าสุดได้เสนอขึ้นทะเบียนฝ้ายพันธุ์ “ตากฟ้า 3” ซึ่งเป็นฝ้ายเส้นใยสั้น มีสีของเส้นใยสีธรรมชาติ และให้ผลผลิตสูงสำหรับแนะนำแก่เกษตรกร และกลุ่มผู้ผลิตผ้าฝ้ายทอมือ
นางสาวนัฐภัทร คำหล้า นักวิชาการเกษตร ระดับชำนาญการ กล่าวถึงความเป็นมาของฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 3 ว่า ได้มาจากการรวบรวมสายพันธุ์จากแหล่งปลูกฝ้ายในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2528 แล้วทำการคัดเลือกให้มีความสม่ำเสมอในพันธุ์ และมีการประเมินศักยภาพในการให้ผลผลิต ผลการดำเนินงานพบว่า ฝ้ายเส้นใยสั้นตากฟ้า 3 ให้ผลผลิตสูงถึง 285 กิโลกรัม/ไร่ สูงกว่าพันธุ์เดิมซึ่งให้ผลผลิตเพียง 95 กิโลกรัม/ไร่ นอกจากนี้ยังมีความต้านทานต่อโรคใบหงิกและโรคเหี่ยว ทนต่อการเข้าทำลายของแมลงทั้งชนิดปากดูดและปากกัด ลักษณะเด่นของฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 3 คือ มีสีเส้นใยตามธรรมชาติเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม่จำเป็นต้องมีการฟอกย้อมด้วยสารเคมี เหมาะสำหรับนำไปใช้เป็นวัตถุดิบงานหัตถกรรมสิ่งทอซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบและมีปริมาณความต้องการใช้มากขึ้น

20 ธันวาคม 2551

คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ จ.นครสวรรค์

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ได้เปิดงานคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ ในพระราชานุเคราะห์ฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2552 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 ณ โรงเรียนบ้านหนองดู่ ม. 5 ต.ทุ่งทอง อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ การจัดงานครั้งนี้เป็นการจัดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา (วันที่ 9 ธันวาคม)

นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ซึ่งรับผิดชอบคลินิกพืช ได้มีการจัดแสดงนิทรรศการด้านพันธุ์พืช ได้แก่ มันสำปะหลังพันธุ์ดี ข้าวโพดลูกผสมเดี่ยวพันธุ์นครสวรรค์ 3 และนิทรรศการด้านพืชชนิดอีกหลายชนิด เช่น ข้าวโพดหวาน การปลูกพืชผัก โรคและแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังให้คำแนะนำแก่เกษตรกรที่มาขอรับการปรึกษาปัญหาการผลิตพืช ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่มีปัญหาด้านการใช้พันธุ์มันสำปะหลังไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ผลผลิตข้าวโพดคุณภาพต่ำ นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ผลการดำเนินงาน มีเกษตรกรเข้าร่วมงานทั้งสิ้นประมาณ 800 ราย เข้ารับคำปรึกษาปัญหาด้านการผลิตพืชในคลินิกพืช จำนวน 55 ราย











2 ธันวาคม 2551

เตือนภัย...การระบาดของโรคใบไหม้แผลใหญ่ในข้าวโพดหวาน

โรคใบไหม้แผลใหญ่ในข้าวโพดหวาน มีสาเหตุมาจากเชื้อรา Exserohilum turcicum โรคนี้ระบาดทั่วไปโดยเฉพาะในแหล่งที่มีการปลูกข้าวโพดหวานติดต่อกันหลายปี เช่น ในจังหวัดทางภาคเหนือ และจังหวัดอื่นๆ เช่น กาญจนบุรี ตาก และในอีกหลายพื้นที่ เช่น นครสวรรค์ ปัจจัยที่เอื้อให้การระบาดมีความรุนแรง ได้แก่ สภาพอากาศที่หนาวเย็น มีน้ำค้างแรงในตอนกลางคืน เมื่อข้าวโพดหวานเป็นโรคใบไหม้แผลใหญ่จะกระทบต่อผลผลิตและคุณภาพอย่างมาก




ลักษณะของเชื้อราสาเหตุ Exerohilum turcicum
ลักษณะอาการ
เกิดโรคได้กับทุกส่วน โดยเฉพาะบนใบ นอกจากนี้พบที่กาบใบ ลำต้น และฝัก โดยเกิดเป็นแผลมีขนาดใหญ่สีเทา หรือสีน้ำตาล มีลักษณะยาวตามใบ หัวท้ายเรียวคล้ายรูปกระสวย อาการจะเกิดกับใบล่าง ๆ ก่อน แผลมีขนาดยาว 2.5-15 ซม. ใบที่มีอาการรุนแรงแผลจะขยายตัวรวมกันเป็นแผลใหญ่ทำให้ใบไหม้และแห้งตายในที่สุด
แผลรูปกระสวย ยาวตามเส้นใบ พันธุ์อ่อนแอต่อโรคแผลลามติดกันทำให้ใบไหม้ทั้งใบ
โรคใบไหม้แผลใหญ่ทำให้ผลผลิตเสียหายมากกว่า 50 % ในด้านคุณภาพพบว่าทำให้ฝักข้าวโพดไม่สมบูรณ์ ฝักบิดเบี้ยว การติดเมล็ดไม่เต็ม

การแพร่ระบาดเชื้อราจะสร้างสปอร์บนแผล และสปอร์ก็จะแพร่ไปโดยลม ฝน เมื่อมีความชื้นสปอร์จะงอกเข้าทำลายใบข้าวโพดและแสดงอาการของโรคในส่วนอื่น ๆ ต่อไป เชื้อจะสร้างสปอร์จำนวนมากในสภาพความชื้นสูง และมีอุณหภูมิระหว่าง 18-27 องศาเซลเซียส ถ้าข้าวโพดเกิดโรคก่อนออกไหมทำให้ผลผลิตลดได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เชื้อราสามารถอยู่ข้ามฤดูในเศษซากข้าวโพด

การป้องกันกำจัด1. หมั่นตรวจไร่อยู่เสมอ ตั้งแต่ระยะกล้า เมื่อพบโรคในระยะเริ่มแรก ให้พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้
· โพรพิโคนาโซล อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
· คาร์เบนดาซิม + อีพอกซี่โคนาโซล อัตรา 25 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
· โพรพิโคนาโซล + ไดฟีโนโคนาโซล อัตรา 5 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
การพ่นด้วยสารกำจัดโรคพืชให้พ่น 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 7 วัน ไม่ควรใช้สารชนิดเดียวกันเกิน 3 ครั้ง เพราะจะทำให้เชื้อสาเหตุเกิดการดื้อต่อสารป้องกันกำจัดโรค

*** การควบคุมโรคด้วยสารเคมีกำจัดโรคพืชจะให้ผลดีเมื่อพ่นในระยะที่ข้าวโพดเริ่มแสดงอาการ ***

2. ทำลายข้าวโพดที่เป็นโรคและเศษซากของข้าวโพดหลังเก็บเกี่ยว เพราะเชื้อราสามารถอยู่ข้ามฤดูบนเศษซากข้าวโพดได้

3. หลีกเลี่ยงฤดูปลูกให้ไม่ตรงกับช่วงที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการระบาดของโรค

19 พฤศจิกายน 2551

เตือนภัย...การระบาดของแมลงศัตรูพืชในหน้าแล้ง

เมื่อถึงฤดูแล้ง สภาพบรรยากาศมีความชื้นต่ำติดต่อกันหลายเดือน เป็นสภาพที่เหมาะสมต่อการระบาดและเพิ่มปริมาณของแมลงศัตรูพืชซึ่งมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ชนิดของแมลงศัตรูที่พบระบาดในหน้าแล้ง ได้แก่ เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว และไรแดง สามารถทำความเสียหายให้กับพืชที่ปลูกได้ เกษตกรควรหมั่นตรวจสอบพืชของตนเอง หากพบการระบาดในระยะเริ่มแรกซึ่งยังมีปริมาณน้อย ให้กำจัดโดยวิธีกล เช่น ใช้มือขยี้ทำลาย หรือฉีดพ่นด้วยน้ำ หากปล่อยให้มีการเพิ่มปริมาณมากจะทำให้การป้องกันกำจัดไม่ได้ผล เช่น การระบาดของเพลี้ยแป้งในมันสำปะหลังขณะฝนทิ้งช่วงในบางท้องที่ ทำให้เกิดความเสียหายมาก

สำหรับมันสำปะหลังมีแมลงศัตรูที่พบระบาด และมีลักษณะการทำลายและการป้องกันกำจัดดังต่อไปนี้

เพลี้ยแป้งลาย

เพลี้ยแป้งลาย เป็นแมลงปากดูด ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ดูดกินน้ำเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ใบ ยอด และส่วนตา

ลักษณะของเพลี้ยแป้ง
ตัวเต็มวัย มีลักษณะตัวบนหลังและด้านข้างมีแป้งปกคลุมมาก มีทั้งชนิดอกลูกเป็นไข่ และออกลูกเป็นตัว

ลักษณะการทำลายเพลี้ยแป้งถ่ายมูลของเหลวทำให้เกิดราดำ (Sooty Mold) บนใบและส่วนอื่นๆ ของต้นพืช ซึ่งมีผลให้พืชสังเคราะห์แสงได้น้อย การดูดกินน้ำเลี้ยงของเพลี้ยแป้งทำให้การเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ลำต้นมีช่วงข้อถี่ ยอดและใบบิดเบี้ยว ยอดแห้งตาย หรือยอดแตกพุ่ม และอาจมีผลกระทบต่อการสร้างหัวหากพืชยังเล็ก ลำต้นมันสำปะหลังที่มีราดำขึ้นปกคลุมเมื่อนำไปใช้เป็นท่อนพันธุ์อาจทำให้ความงอกลดลงการแพร่ระบาดเพลี้ยแป้งจะแพร่กระจายตามลำต้น ซอกใบ ใต้ใบมันสำปะหลัง ปริมาณจะเพิ่มขึ้นจนเต็มข้อ ตามลำต้น ส่วนใบ ส่วนยอด เพลี้ยแป้งชนิดออกลูกจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าชนิดวางไข่ หากสภาพอากาศแห้งแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน จะขยายปริมาณอย่างรวดเร็ว ตัวอ่อนวัย 1 เป็นวัยที่เคลื่อนย้ายไปตามส่วนต่าง ๆ ของพืช เป็นวัยสำคัญในการแพร่กระจายไปสู่บริเวณพื้นที่อื่น โดยการติดไปกับท่อนพันธุ์หรือกระแสลมมันสำปะหลังพันธุ์แนะนำ เช่น ระยอง 90 ไม่มีการทำลายของเพลี้ยแป้งในระดับที่ความเสียหาย

แนวทางในการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง
1. หลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังในช่วงที่พืชยังเล็กจะกระทบกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการขยายปริมาณเพลี้ยแป้ง ใช้พันธุ์ที่ทางรัฐบาลแนะนำ
2. เก็บส่วนของพืชที่มีเพลี้ยแป้งออกจากแปลง เผาหรือทำลาย และทำความสะอาดแปลงเก็บวัชพืช ซากพืช ออกจากแปลงหลังเก็บเกี่ยวแล้ว
3. เพลี้ยแป้งมีศัตรูธรรมชาติ ทั้งแมลงเบียนและแมลงห้ำคอยควบคุมปริมาณเพลี้ยแป้งให้อยู่ในระดับสมดุลอยู่แล้วในสภาพปกติ
4. ควรใช้สารฆ่าแมลงเมื่อมีการระบาดของเพลี้ยแป้งอย่างรุ่นแรง พืชเริ่มแสดงอาการถูกทำลาย พ่นเฉพาะบริเวณที่พบแมลง ระยะที่เหมาะสมเป็นระยะที่เพลี้ยแป้งอยู่ในวัยที่ 1-2 เนื่องจากยังไม่มีแป้งเกาะตามลำตัว เพราะแป้งจะเป็นเกราะกำบังสารฆ่าแมลงได้อย่างดี พ่นเฉพาะบริเวณที่พบแมลงเท่านั้น

แมลงหวี่ขาว

แมลงหวี่ขาว Bemisia tabaci (Aleyrodidae : Homoptera)ทำลายพืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจหลายชนิด การระบาดตลอดทั้งปี และระบาดรุนแรงในฤดูแล้ง และต้นฤดูฝน ซึ่งมีอากาศร้อน แห้งแล้ง

ลักษณะของแมลงหวี่ขาว

ลักษณะของแมลงหวี่ขาวตัวเต็มวัยเป็นแมลงขนาดเล็ก ลำตัวสีเหลืองหรือสีขาว มีปีก 1 คู่ เคลื่อนไหวเมื่อถูกรบกวน วางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ หรือชิดติดกันที่ด้านใต้ใบพืช ไข่มีสีเหลืองอ่อนลักษณะยาวเรียวและมีก้านสั้น ๆ ยึดติดกับใบพืช ตัวอ่อนมีรูปร่างคล้ายรูปไข่ ขอบด้านข้างลาดลง สีเหลืองปนเขียว ตัวอ่อนวัยที่ 1 เคลื่อนไหวได้ ตัวอ่อนที่มีอายุมากขึ้นจะเกาะนิ่งอยู่ด้านใต้ใบพืชและดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบเป็นอาหาร

การทำลาย

ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใต้ใบ ทำให้ใบเหลืองซีด ถ้าระบาดมากในระยะแรกของการเจริญเติบโต จะทำให้ต้นแคระแกร็น สามารถถ่ายมูลหวานบนใบพืชเช่นเดียวกับเพลี้ยแป้ง และเพลี้ยอ่อน ทำให้เกิดราดำ มีผลทำให้พืชสังเคราะห์แสงลดลง

การป้องกันกำจัดในมันสำปะหลัง
ไม่แนะนำให้พ่นสารกำจัดแมลง เนื่องจากเพิ่มต้นทุนการผลิต และไม่คุ้มทุน หากมีฝนตกปริมาณและความรุนแรงในการระบาดจะลดลง การทำลายของแมลงหวี่ขาวขึ้นกับพันธุ์มันสำปะหลัง ถ้ามันสำปะหลังอายุ 7 เดือนขึ้นไปจะไม่กระทบต่อผลผลิต

ไรแดง

ไรแดงที่ทำลายมันสำปะหลังพบ 2 ชนิด คือ ไรแดงหม่อน และไรแดงมันสำปะหลัง ไรแดงหม่อนทำความเสียหายดูดกินน้ำเลี้ยงตามใต้ใบส่วนล่าง ๆ ของมันสำปะหลัง และขยายปริมาณขึ้นสู่ส่วนยอด ส่วนไรแดงมันสำปะหลังดูดกินน้ำเลี้ยงบนหลังใบส่วนยอด และขยายปริมาณลงสู่ส่วนล่างของลำต้น

ลักษณะของไรแดง

ตัวเต็มวัยมีขา 8 ขา ลำตัวสีแดงเข้ม ส่วนขาไม่มีสี ไรแดงอยู่รวมเป็นกลุ่ม ทำลายทั้งใต้ใบ และบนหลังใบ ตัวเมียขยายพันธุ์โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ (Parthenogenesis) ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ชีพจักรสั้น ตัวเมียวางไข่ได้ 4-13 ฟอง เฉลี่ย 4.79 ฟองต่อวัน ปกติไรแดงจะไม่ค่อยเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวไปไกล ๆ โดยใช้เส้นใยสีขาวคล้ายใยแมงมุม ซึ่งใช้เป็นส่วนป้องกันไข่จากศัตรูธรรมชาติ การแพร่กระจายโดยอาศัยกระแสลม การทำความเสียหายจะเกิดขึ้นเป็นหย่อม ๆ แล้วกระจายออกเป็นบริเวณกว้าง หากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม




การทำลาย

ดูดกินน้ำเลี้ยงบนใบและใต้ใบ ทำให้ใบมันสำปะหลังเหลืองซีดเป็นรอยขีด ใบม้วนงอและร่วง ส่วนยอดที่ถูกทำลายงองุ้ม ตาลีบ

การป้องกันกำจัด
หากมีการระบาดรุนแรง และมีฝนทิ้งช่วงยาวนาน ควรพ่นด้วย อมิทราช หรือไดโค
ฟอล โดยพ่นเฉพาะต้นที่แสดงอาการ

4 พฤศจิกายน 2551

การปลูกมันสำปะหลังในชุดดินตาคลี

ปัจจุบันมันสำปะหลังเป็นพืชที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมาก พื้นที่ปลูกขยายเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากแรงจูงใจด้านราคา ในการปลูกบางครั้งเกษตรกรขาดความเอาใจใส่ในเรื่องของการเลือกท่อนพันธุ์ที่จะนำมาปลูก และการพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ปลูก จึงทำให้เกิดปัญหาการระบาดของโรคและแมลงศัตรูที่ติดมากับท่อนพันธุ์ ตลอดจนการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของมันสำปะหลัง

ชุดดินตาคลีเป็นอีกชุดดินหนึ่งที่ใช้ในการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ชุดดินตาคลี และชุดดินบึงชนัง มีวัตถุต้นกำเนิดดินมาจากการสลายตัวของหินปูนและหินอัคนีเนื้อละเอียด และเกิดจากมาร์ล จัดอยู่ในกลุ่มชุดดินที่ 52 เป็นดินตื้นถึงตื้นมาก พบก้อนปูนหรือปูนมาร์ลปนอยู่ในเนื้อดินมากในระดับความลึก 50 เซนติเมตรจากผิวดิน เนื้อดินชั้นบนเป็นดินร่วนเหนียวหรือดินเหนียว ดินชั้นล่างเป็นดินเหนียวปนก้อนปูนหรือปูนมาร์ล มีปฏิกิริยาดินเป็นกลางถึงด่างแก่ มีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 7.0-8.5 มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง มีความลาดเทระหว่าง 1-5 เปอร์เซ็นต์ พบก้อนปูนกระจัดกระจายที่ผิวดินแต่ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์

กลุ่มชุดดินที่ 52 แพร่กระจายอยู่ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ รวมเนื้อที่ทั้งหมด 1.62 ล้านไร่ โดย 85 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มชุดดินนี้กระจายอยู่ในสี่จังหวัดได้แก่ นครสวรรค์ ปราจีนบุรี กาญจนบุรี และลพบุรี ซึ่งมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในปี 2550 รวมกันประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ ถึงจะเป็นตัวเลขที่ไม่มากนัก แต่หากมีการจัดการการดินที่เหมาะสมในกลุ่มชุดดินนี้ ก็จะช่วยยกระดับผลผลิตโดยรวมของมันสำปะหลังขึ้นมาได้อีก

ความเหมาะสมสำหรับการปลูกพืช
โดยทั่วไปกลุ่มชุดดินที่ 52 มีศักยภาพเหมาะสมในการปลูกพืชไร่และพืชผักหลายชนิด แม้หน้าดินจะตื้นแต่มักจะมีหน้าดินหนามากกว่า 15 เซนติเมตร นอกจากจะมีความอุดมสมบูรณ์สูงแล้วยังมีลักษณะทางกายภาพดีเป็นส่วนใหญ่

ปัญหาและข้อจำกัดในการปลูกพืช
· เนื่องจากเป็นดินตื้นถึงตื้นมาก มีเศษหินปูนหรือก้อนปูนปะปนอยู่กับเนื้อดินและเป็นชิ้นหนา ยากในการที่รากพืชจะชอนไชไปหาอาหาร และยากในการเตรียมดินปลูก
· ดินเป็นด่างจัด ทำให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิดถูกตรึงอยู่ในรูปที่ไม่ละลายมาเป็นประโยชน์ต่อพืช โดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรัส และจุลธาตุบางชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง สังกะสี และโบรอน เป็นต้น
· ดินขาดน้ำและความชื้นไม่พอเพียงในหน้าแล้ง

ข้อแนะนำในการจัดการดินเพื่อให้เหมาะสมในการปลูกมันสำปะหลัง
ดินชุดนี้มีศักยภาพเหมาะสมในการปลูกพืชไร่รากตื้นและพืชผักได้เป็นอย่างดี ถ้าชั้นดินบนไม่มีปูนปะปนอยู่มาก และมีความหนามากกว่า 15 ซ.ม. จากการประเมินชั้นความเหมาะสมของดินกลุ่มนี้โดยกรมพัฒนาที่ดินในการปลูกมันสำปะหลัง พบว่ามีความเหมาะสม เท่ากับ 1 ในดินที่มีหน้าดินหนามากกว่า 25 ซ.ม. และเท่ากับ 1g ในดินที่มีหน้าดินหนาน้อยกว่า 25 ซ.ม. หมายความว่า มีความเหมาะสมในการปลูกมันสำปะหลัง แต่ถ้ามีหน้าดินหนาน้อยกว่า 25 ซ.ม. มักจะมีชั้นเศษหิน กรวด หรือลูกรังอยู่ตื้น เป็นอุปสรรคต่อการเจริญของรากพืช
ดังนั้นหากต้องการปลูกมันสำปะหลังในกลุ่มชุดดินที่ 52 ควรเลือกดินที่มีหน้าดินหนากว่า 15 ซ.ม. ไม่มีก้อนปูนหรือเศษหินปะปนอยู่มาก

นอกจากนี้การปรับปรุงและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นสิ่งจำเป็น ถึงแม้ว่าชุดดินนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่เมื่อเพาะปลูกไปนาน ๆ ความอุดมสมบูรณ์ย่อมลดลง ควรจัดระบบปลูกพืชบำรุงดิน พืชปุ๋ยสดที่แนะนำ ได้แก่ ปอเทือง นอกจากนี้การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 0.5-1.0 ตันต่อไร่ ช่วยให้ดินร่วนซุยมากขึ้น
การจัดการอีกอย่างหนึ่งคือคัดเลือกพันธุ์มันสำปะหลังที่สามารถขึ้นได้ดีในดินที่เป็นด่างมาปลูกก็จะทำให้การใช้กลุ่มดินชุดที่ 52 มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ลักษณะอาการผิดปกติที่พบในการปลูกมันสำปะหลังในชุดดินตาคลี
จากการปลูกทดสอบมันสำปะหลังในชุดดินตาคลีที่มีเม็ดปูนปนอยู่ในดินชั้นบนมาก ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ต.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ พบว่า ในด้านการเจริญเติบโต มันสำปะหลังเริ่มแสดงอาการผิดปกติเด่นชัดเมื่ออายุ 2 สัปดาห์หลังปลูก โดยมีอาการใบเหลืองซีดที่ใบบน บางพันธุ์แสดงอาการใบเหลืองซีดร่วมกับอาการใบไหม้ และจะแสดงอาการรุนแรงในมันสำปะหลังบางพันธุ์ อาการผิดปกติดังกล่าวเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก จากการสังเกตพบว่าพันธุ์ระยอง 9 จะแสดงอาการรุนแรงที่สุด โดยใบทุกใบเหลืองซีด ใบไหม้และแห้งตายจากใบล่างขึ้นมาใบบน ทำให้มีจำนวนต้นตายสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์อื่น พันธุ์ที่อาจมีความเสี่ยงเมื่อปลูกในดินชุดนี้อีกพันธุ์หนึ่งคือระยอง 7 ซึ่งแสดงอาการใบซีดและใบไหม้ตลอดระยะการเจริญเติบโต พันธุ์ที่พบว่าค่อนข้างทนต่อการปลูกในดินชุดตาคลี  ได้แก่ พันธุ์ระยอง 5 และระยอง 11 มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ที่นำมาทดสอบ ใบมีสีเขียวเกือบปกติ ไม่มีต้นตาย

นอกจากนี้การปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ที่ไม่ทนต่อชุดดินตาคลีที่มีเม็ดปูนปนอยู่มากและหน้าดินตื้น จะมีผลทำให้ต้นมันสำปะหลังแคระแกร็น ทรงพุ่มเล็ก ต้นตาย ทำให้จำนวนต้นต่อพื้นที่ลดลง ดังนั้นต้นมันสำปะหลังที่เหลืออยู่จึงไม่สามารถแข่งขันกับวัชพืชที่ขึ้นอย่างหนาแน่นได้ การกำจัดวัชพืชต้องทำบ่อยครั้งขึ้น และอาจไม่คุ้มกับผลผลิตที่จะได้


ภาพที่ 1 ลักษณะการเจริญของมันสำปะหลังในดินที่มีเม็ดปูนปะปนในดินชั้นบน


ภาพที่ 2 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 อายุ 2 เดือน


ภาพที่ 3 ความแตกต่างของมันสำปะหลังแต่ละพันธุ์เมื่อปลูกในชุดดินตาคลี แปลงย่อยที่ใบยังเขียวคือพันธุ์ระยอง 5


ภาพที่ 4 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 อายุ 11 เดือน


ภาพที่ 5 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 7 อายุ 11 เดือน


ภาพที่ 6 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 5 อายุ 11 เดือน

ข้อมูลดิน: กรมพัฒนาที่ดิน

เนื้อหา