15 ตุลาคม 2552

เครื่องเก็บเกี่ยวข้าวโพดแบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง

เครื่องเก็บเกี่ยวข้าวโพดแบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
เป็นผลงานเด่นของกรมวิชาการเกษตร ปี 2551 โดยได้รับรางวัลชมเชยประเภทงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์คิดค้น ผู้คิดค้นคือนักวิจัยจากสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาต้นแบบเครื่องเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ซึ่งปัญหาจากการขาดแคลนแรงงานประกอบกับค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวสูง จึงได้มีการพัฒนาเครื่องเกี่ยวนวดข้าวซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยนำมาดัดแปลงให้สามารถเกี่ยวนวดข้าวโพดได้ 2 แบบ คือ แบบตัดทั้งต้น และแบบปลิดเฉพาะฝัก
เครื่องเก็บเกี่ยวข้าวโพดแบบตัดทั้งต้น ได้พัฒนาชุดหัวเกี่ยวบางส่วน และระบบนวดกะเทาะ จนสามารถเก็บเกี่ยวข้าวโพดทั้งต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีอัตราการทำงาน 2-4 ไร่ต่อชั่วโมง อัตราการแตกหักต่ำกว่า 2 % มีสิ่งเจือปนและอัตราการสูญเสียของเมล็ดต่ำกว่า 1 % และสามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกระยะห่างของแถวปลูก
เครื่องเก็บเกี่ยวข้าวโพดแบบปลิดเฉพาะฝัก ได้เปลี่ยนหัวเกี่ยวข้าวที่ใช้ใบมีดตัดเป็นชุดหัวปลิดฝักข้าวโพดขนาด 4 แถว แทน และพัฒนาระบบนวดกะเทาะจนเหมาะสำหรับใช้กับข้าวโพดที่ปลิดเฉพาะฝัก มีอัตราการทำงานมากกว่า 6 ไร่ต่อชั่วโมง และมีอัตราการสูญเสียของเมล็ดและสิ่งเจือปนต่ำกว่า 1% เหมาะสำหรับเก็บเกี่ยวข้าวโพดในแปลงที่มีระยะห่างของแถวปลูก 75 เซนติเมตร
นอกจากนั้นเครื่องทั้งสองแบบยังสามารถทำงานในแปลงที่มีสภาพเปียกแฉะได้ ช่วยให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวข้าวโพดได้ในเวลาที่ต้องการ และมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนเนื่องจากช่วยลดต้นทุนขั้นตอนการเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยกว่า 20% ผลงานวิจัยนี้ยังสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาหรือดัดแปลงสำหรับใช้กับพืชอื่นๆ หรือปรับให้ใช้ได้ทั้งเก็บเกี่ยวข้าวและข้าวโพด

12 ตุลาคม 2552

มารู้จัก..โรคราสนิมของข้าวโพด

โรคราสนิม (southern corn rust)
โรคราสนิมที่เกิดจากเชื้อ Puccinia polysora Underw พบครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาโดย Underwood โดยเข้าทำลายพืชที่มีพันธุกรรมใกล้เคียงกับข้าวโพดคือ Tripsacum dactyloides ในรัฐอลาบามา สหรัฐอเมริกา ต่อมาพบในพืช Erianthus ซึ่งเป็นพืชตระกูลหญ้าซึ่งมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับอ้อย ส่วนการเข้าทำลายข้าวโพดครั้งแรกรายงานโดย Cummins ( Orian, 1954; Ullstrup, 1950) โรคราสนิมที่เกิดจากเชื้อรา P. polysora ระบาดแพร่หลายในเขตร้อนชื้น (tropical) และกึ่งร้อนชื้น (subtropical) ในปี ค.ศ. 1949 พบการระบาดที่อัฟริกา (Robinson, 1973) ปี 1949 เริ่มระบาดแถบ corn belt หลังจากนั้นเริ่มกระจายออกไปในหลายพื้นที่ปลูก 

สำหรับประเทศไทยโรคราสนิมมีความสำคัญยิ่งโรคหนึ่ง มีรายงานการระบาดของโรคราสนิม ในปี พ.ศ. 2527 โดยสร้างความเสียหายให้กับข้าวโพดในท้องที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา (อุดม, 2529) นอกจากนี้ยังพบการระบาดในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวโพดอย่างต่อเนื่อง เช่น การปลูกข้าวโพดหวานเพื่ออุตสาหกรรม อีกประการหนึ่งคือการกระจายของน้ำฝนไม่สม่ำเสมอ ทำให้การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีหลายฤดูปลูก จึงมีพืชอาศัยของโรคตลอดทั้งปีเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปสู่ต้นที่ปลูกภายหลัง ปลายฤดูฝน (สิงหาคม-พฤศจิกายน) เป็นช่วงที่เกิดโรครุนแรงที่สุด (ประชุม และคณะ, 2546) การเขตกรรมและพันธุ์ข้าวโพดที่ปลูกมีผลต่อการระบาดของโรคราสนิม (southern rust) (Futrell, 1975) ปัจจุบันแหล่งที่พบว่ามีการระบาดของโรคอย่างรุนแรง ได้แก่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เลย เชียงใหม่ ตาก และ สงขลา (ชุติมันต์ และเตือนใจ, 2545) 



อาการของโรค ลักษณะอาการของโรคราสนิม (Southern rust) จะเกิดตุ่มนูนของสปอร์ (pustule) ขนาด 0.2-1.3 มิลลิเมตร ตุ่มสปอร์ของโรคราสนิมที่เกิดจากเชื้อรา P. polysora ต่างจากตุ่มสปอร์ที่เกิดจากเชื้อรา P. sorghi ทั้งขนาด รูปร่าง และสี นอกจากนี้ลักษณะแตกต่างที่สำคัญคือโรคราสนิมที่เกิดจากเชื้อรา P. polysora จะมีความรุนแรงมากกว่า สามารถทำให้ข้าวโพดแห้งตายได้ (Rodriguez-Ardon et al., 1980) ตุ่มของสปอร์ของโรคราสนิมเกิดได้ทั้งด้านบนและด้านล่างของใบ แต่จะพบมากด้านบนของใบ โรคราสนิมสามารถเกิดได้ทุกส่วนของพืช ไม่ว่าบนใบ กาบใบ ลำต้น กาบหุ้มฝัก และช่อดอกตัวผู้ ระยะแรกตุ่มสปอร์จะมีสีน้ำตาลอ่อน ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง เมื่อตุ่มสปอร์แตกออกจะพบผงสีสนิมเหล็ก เป็นหน่วยสืบพันธุ์ของเชื้อที่เรียกว่า uredospore 

ความเสียหายที่เกิดจากโรคราสนิม เมื่อเชื้อสาเหตุโรคราสนิมเข้าทำลายข้าวโพดจะทำให้พื้นที่ใบสูญเสียการสังเคราะห์แสง เกิดอาการใบซีด (chlorosis) และใบแก่เร็วขึ้นทำให้การสร้างเมล็ดไม่สมบูรณ์จึงมีผลต่อผลผลิต ความเสียหายของผลผลิตมีมากขึ้นเมื่อข้าวโพดถูกทำลายเมื่อข้าวโพดยังเล็กและโรคราสนิมลามขึ้นไปถึงใบที่อยู่เหนือฝัก (Biswanath, 2008) ความเสียหายของผลผลิตข้าวโพดเนื่องมาจากการทำลายของโรคราสนิมนอกจากจะขึ้นกับอาการของโรคแล้ว ยังขึ้นอยู่กับชนิดและพันธุ์ข้าวโพด ตลอดจนปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการเจริญของข้าวโพด เช่น ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความชื้นในดิน ซึ่งจะทำให้ข้าวโพดที่เป็นโรคระดับเดียวกันเป็นโรครุนแรงต่างกันได้ Pataky และ Eastburn (1993) รายงานความเสียหายในข้าวโพดหวานที่มีระดับความต้านทานแตกต่างกัน ในข้าวโพดหวานพันธุ์ต้านทานที่เป็นโรคราสนิม 1-20 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผลผลิตลดลง 0-12 เปอร์เซ็นต์ พันธุต้านทานปานกลางที่เป็นโรค 8-30 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตจะลดลง 5-18 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์อ่อนแอปานกลางที่เป็นโรครุนแรง 15-40 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตจะลดลง 9-24 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์อ่อนแอที่เป็นโรครุนแรง 25-75 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตลดลง 15-45 เปอร์เซ็นต์ 

การป้องกันกำจัด การจัดการโรคทำได้หลายวิธีการตั้งแต่การใช้พันธุ์ต้านทาน การใช้สารเคมีและการจัดการด้านเขตกรรม ปกติโรคที่เข้าทำลายข้าวโพดในระยะออกดอก หรือหลังออกดอก แนวทางการแก้ไขคือต้องปรับปรุงพันธุ์ให้ต้านทานต่อโรคนี้ (ประชุม et al., 2549) ซึ่งจะมีการคัดเลือกเชื้อพันธุกรรมข้าวโพดที่มีลักษณะต้านทานทั้งแบบคุณภาพและปริมาณ (Chavez-Medina et al., 2007) มาใช้เป็นแหล่งในการสร้างพันธุ์ข้าวโพดที่ต้านทานต่อโรค ขณะเดียวกันก็มีการศึกษาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันโรคนี้ไว้ด้วยสำหรับแก้ปัญหาในระยะสั้น

ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืชเมื่อพบโรคราสนิมในข้าวโพด มีข้อควรพิจารณาหลายประการ เช่น ความคุ้มค่า โดยเฉพาะเมื่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตกต่ำ การใช้สารเคมีควรคำนึงถึงผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ ควรพ่นเมื่อเริ่มมีอาการของโรคในพันธุ์อ่อนแอที่มีศักยภาพในการให้ผลผลิตและผลตอบแทนคุ้มค่า เช่น ในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสม หรือแปลงผลิตสายพันธุ์แท้ซึ่งเป็นสายพันธุ์พ่อ-แม่ และตรวจสอบสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิ และความชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมต่อการแพร่ระบาดของโรคด้วย หากมีสภาพแวดล้อมต่อการเกิดโรคเหมาะสม ควรพิจารณาป้องกันกำจัด 

การป้องกันกำจัดให้พ่นด้วยสารกำจัดโรคพืช ไดฟีโนโคนาโซล (difenoconazole) หรือ ไซโปรโคนาโซล (cyproconazole) เมื่อข้าวโพดเริ่มแสดงอาการจึงจะได้ผลดี (สมเกียรติ และดิลก, 2533) นอกจากนี้ยังพบว่า ไดฟีโนโคนาโซล 15% + โพรพิโคนาโซล 15% อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ผลในการควบคุมโรคได้ดีที่สุดและให้ผลผลิตสูงที่สุด (ประชุม et al., 2549) 

คำแนะนำสำหรับการป้องกันกำจัดโรคราสนิมของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยไม่แนะนำให้ใช้สารเคมีเนื่องจากเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติและไม่คุ้มต่อการลงทุน ดังนั้นการแนะนำให้เกษตรปลูกพันธุ์ต้านทานต่อโรคเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด (เบญจพรรณ, 2546)

ตุ่มสปอร์ (pustule) บนใบข้าวโพด เมื่อแตกออก จะ เห็น uredospores จำนวนมาก

ลักษณะ uredospore ของเชื้อรา P. polysora

17 กันยายน 2552

จากเส้นใยฝ้าย...สู่ผ้าไตรจีวร งานบุญจุลกฐิน...ที่ตากฟ้า

อำเภอตากฟ้าร่วมกับหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน และพ่อค้าประชาชน ได้กำหนดจัดงานบุญมหากุศลพิธีทอดผ้าจุลกฐิน เพื่ออนุรักษ์และสืบทอดประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนาให้เป็นเอกลักษณ์ของชาวอำเภอตากฟ้าเป็นประจำทุกปีต่อไป ในปีนี้คณะกรรมการกำหนดจัดงานขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2552 ณ วัดโคกขามสามัคคีธรรม ต.อุดมธัญญา อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ในการดังกล่าวได้มีพิธีปลูกฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 2 ไปเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อให้ได้ปุยฝ้ายนำมาทอผ้าไตรจีจร โดยศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ได้สนับสนุนเมล็ดพันธุ์และให้คำแนะนำในการดูแลรักษา จะเริ่มเก็บปุยฝ้ายได้ประมาณวันที่ 15 ตุลาคม นี้
คำว่าจุลกฐินนั้น คือ คำเรียกการทอดกฐินที่ต้องทำด้วยความรีบด่วน โดยต้องอาศัยความสามัคคีของผู้ศรัทธาจำนวนมาก เพื่อผลิตผ้าไตรจีวรให้สำเร็จด้วยมือภายในวันเดียว กล่าวคือ ต้องเริ่มตั้งแต่เก็บฝ้าย ปั่นฝ้าย ทอผ้า ย้อมและตัดเย็บ และถวายให้พระสงฆ์กรานกฐินให้เสร็จภายในเวลาเช้าวันหนึ่งจนถึงย่ำรุ่งของอีกวันหนึ่ง ดังนั้นโบราณจึงนับถือกันว่าการทำจุลกฐินมีอานิสงส์มาก เพราะต้องใช้ความอุตสาหะพยายามมากกว่ากฐินแบบธรรมดา (มหากฐิน) ภายในระยะเวลาอันจำกัด โดยจุลกฐินนี้ปัจจุบันมักจัดเป็นงานใหญ่อาศัยความร่วมมือของคนทั้งชุมชนและ มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก สาเหตุประการหนึ่งที่มีการทำจุลกฐิน เนื่องมาจากกำหนดการกรานกฐินนั้นมีระยะเวลาจำกัด และพระสงฆ์ไม่สามารถขวนขวายดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผ้ากฐินเองได้ เพราะจะทำให้กฐินเดาะ (สังฆกรรมเสีย) จึงอาจมีบางวัดที่ใกล้กำหนดหมดฤดูกฐินแต่ยังไม่มีผู้นำผ้ากฐินมาถวาย ทำให้ในสมัยก่อนเมื่อใกล้เดือน ๑๒ (หมดฤดูกฐิน) มักจะมีผู้ศรัทธาตระเวนไปตามวัดต่าง ๆ เมื่อเจอวัดที่ยังไม่ได้รับถวายผ้ากฐิน จึงต้องเร่งรีบขวนขวายจัดการทำผ้ากฐินให้เสร็จทันฤดูกฐินหมด ซึ่งบางครั้งอาจเหลือเวลาแค่วันเดียว จึงต้องร่วมกันจัดทำผ้าไตรจีวรให้สำเร็จก่อนหมดฤดูกฐิน

ผวจ.นครสวรรค์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร และนายอำเภอตากฟ้าปลูกฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 2 ณ วัดโคกขามสามัคคีธรรม เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.52
แปลงฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 2 อายุประมาณ 80 วัน ภายในบริเวณวัดโคกขามสามัคคีธรรม กำลังออกดอก ติดสมอ

3 กันยายน 2552

เรื่องน่ารู้..โรคใบจุดมันสำปะหลัง









โรคใบจุดมันสำปะหลัง
เกิดจากเชื้อรา เซอร์คอสปอริเดียม เฮ็นนิงซิไอ ในประเทศไทย พบว่า มันสำปะหลังเกือบทุกพันธุ์เป็นโรคใบจุดสีน้ำตาล ความรุนแรงของโรคขึ้นกับพันธุ์ อายุพืชและสภาพแวดล้อม มันสำปะหลังที่มีอายุ 3-5 เดือน จะมีความต้านทานต่อโรคนี้มากกว่ามันสำปะหลังที่มีอายุ 14-16 เดือน และสามารถพบโรคในแหล่งที่มีความชื้นต่ำและแห้งแล้งได้ โรคใบจุดสีน้ำตาลนี้จะไม่ทำให้ผลผลิตของมันสำปะหลังลดลงมากนัก ผลผลิตจะแตกต่างเฉพาะในพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรค พันธุ์ที่เป็นโรคในระดับปานกลาง พบว่า ทำให้ผลผลิตลดลงตั้งแต่ 14-20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากทำให้ใบร่วงเร็วกว่าปกติ ทำให้พุ่มใบเปิดเป็นโอกาสให้วัชพืชเจริญได้ดี อันเป็นผลทางอ้อมทำให้ผลผลิตของมันสำปะหลังลดลง

ลักษณะอาการ
โดยทั่วไปต้นที่เป็นโรคมีการเจริญเติบโตเป็นปกติ จะพบอาการของโรคบนใบล่าง ๆ มากกว่าใบบน มีรายงานว่าใบมันสำปะหลังอายุ 5-15 วัน จะทนทานต่อการเกิดโรค และจะเริ่มเป็นโรคได้เมื่ออายุ 25 วันขึ้นไป โดยเกิดอาการใบจุดค่อนข้างเหลี่ยมตามเส้นใบ มีสีน้ำตาล ขนาด 3-15 มิลลิเมตร มีขอบชัดเจน จุดแผลด้านหลังใบมีสีเทา เนื่องจากมีเส้นใยและส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อสาเหตุ ในพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรค แผลจะล้อมรอบด้วยวงสีเหลือง ตรงกลางแผลอาจจะแห้งและหลุดเป็นรู

การแพร่ระบาด
เชื้อราสาเหตุของโรคสามารถอาศัยอยู่บนใบมันสำปะหลังที่ร่วงอยู่ในแปลง แพร่ระบาดโดยการสร้างสปอร์ เมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สปอร์เหล่านี้จะแพร่กระจายไปโดยลม หรือเม็ดฝนพาไปตกบนใบ ทำให้เกิดการแพร่โรคได้ต่อไป
ความชื้น อุณหภูมิ อายุของพืช และความอุดมสมบูรณ์ของดินมีความสำคัญต่อการแพร่ระบาดของโรค กล่าวคือ เชื้อสาเหตุจะสร้างสปอร์เมื่อมีความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 50-90 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิที่ทำให้สปอร์งอกดีที่สุดอยู่ระหว่าง 39-43 องศาเซลเซียส ดังนั้นเราจึงสามารถพบโรคใบจุดสีน้ำตาลในแหล่งที่มีความชื้นต่ำและแห้งแล้ง

การป้องกันกำจัด
ปกติโรคใบจุดพบได้ทั่วไป แต่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิต
1. ใช้พันธุ์แนะนำ ซึ่งมีความต้านทานโรคปานกลาง
2. เมื่อพบโรคระบาดรุนแรง พ่นด้วยสารเคมีพวกคอปเปอร์ หรือ เบโนมิล

14 กรกฎาคม 2552

เปิดงานวันชาวไร่...ประชาชนร่วมงานคับคั่ง

นายศุภกิจ บุญฤทธิพงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ และ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  ร่วมเปิดงานมหกรรมวันชาวไร่ 36 ปี กรมวิชาการเกษตร ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ในวันที่ 30 มิถุนายน 52 ภายในงานมีการจัดนิทรรศการของหน่วยราชการและเอกชน 39 หน่วยงาน การสาธิตแปรรูปผลิตผลการเกษตร สาธิตเครื่องเก็บเกี่ยวข้าวโพด และเครื่องจักรกลเกษตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานด้านวิชาการให้แก่เกษตรกรและบุคคลทั่วไป หลังพิธีเปิด ผวจ. นครสวรรค์ และอธิบดี ได้เดินชมแปลงและนิทรรศการ จนกระทั่งเวลาประมาณ 15 .00 น. ประธานในพิธีได้เดินทางกลับ

นายพิเซษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เปิดเผยว่า มีเกษตรกรและประชาชนให้ความสนใจเข้าชมแปลงสาธิตและนิทรรศการ กว่า 2,300 คน ทั้งนี้ผู้ที่ไม่ได้มาร่วมงานในวันดังกล่าวยังสามารถเข้าชมแปลงสาธิตพันธุ์พืชไร่ 14 ชนิด รวม 62 พันธุ์ บนเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ได้ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 52


แปลงสาธิตพันธุ์พืชไร่


อีกมุมมองของแปลงสาธิต


แปลงข้าวโพดพันธุ์ "นครสวรรค์ 3" สำหรับใช้สาธิตเครื่องเก็บเกี่ยวข้าวโพด


ประชาชนร่วมพิธีเปิดงาน


นักเรียนจากโรงเรียนในพื้นที่ร่วมงาน


ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์กล่าวต้อนรับ


อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าวเปิดงาน


ผวจ.นครสวรรค์ และอธิบดี กวก. ร่วมกดปุ่มเปิดงานวันชาวไร่


ผวจ.นครสวรรค์ อธิบดี กวก. หัวหน้าส่วนราชการ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก


เยี่ยมชมแปลงสาธิต


การให้บริการวิชาการ ต่ออายุ-ขอใบอนุญาตจำหน่ายปุ๋ย-วัตถุอันตรายและเมล็ดพันธุ์พืช


เกษตรกรขอรับคำปรึกษาปัญหาศัตรูพืชจากคลินิกพืช


อธิบดี กวก. เยี่ยมชมการให้บริการคลินิกพืช และสนทนากับเกษตรกร


นักเรียนจาก ร.ร วัดประชาสรรค์ให้ความสนใจเชื้อสาเหตุโรคพืช


สีสันของงานที่แท้จริง.. พระ-เณรกว่า 300 รูป จากวัดตากฟ้า เข้าศึกษาในแปลงสาธิต


อธิบดี กวก. มอบรางวัลข้าวโพดลูกผสม นครสวรรค์ 3 แก่เกษตรกรที่ร่วมกิจกรรมตอบปัญหา


สาธิตเครื่องเก็บเกี่ยวข้าวโพด

4 มิถุนายน 2552

มหกรรมวันชาวไร่ 36 ปี กรมวิชาการเกษตร


นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เผยว่า ในโอกาสสถาปนาครบรอบ 36 ปีของกรมวิชาการเกษตร ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ได้กำหนดให้มีการจัดงานมหกรรมวันชาวไร่ ในวันที่ 30 มิถุนายน 2552 ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ต.สุขสำราญ อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานด้านวิชาการให้แก่เกษตรกรและบุคคลทั่วไป กิจกรรมหลักของงานประกอบด้วยการจัดแสดงแปลงสาธิตพันธุ์พืชไร่ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย มันสำปะหลัง งา พืชตระกูลถั่ว สาธิตเครื่องจักรกลการเกษตร สาธิตการแปรรูปผลิตผลเกษตร การจัดแสดงนิทรรศการด้านการเกษตรจากหน่วยราชการและเอกชน นอกจากนี้ยังให้บริการคลินิกพืช บริการวิเคราะห์ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ต่อใบอนุญาตและออกใบอนุญาตจำหน่ายวัตถุอันตรายทางการเกษตร-ปุ๋ย-เมล็ดพันธุ์พืช จำหน่ายสินค้าแปรรูปและผักปลอดสารพิษ คาดว่าจะมีเกษตรกรมาร่วมงานไม่น้อยกว่า 500 คน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-5624-1019

6 พฤษภาคม 2552

เกษตรฯ เปิดตัวพืชพันธุ์ใหม่ให้ผลผลิตสูง


กรมวิชาการเกษตร โชว์สุดยอดผลงานวิจัย 5 พืชพันธุ์ใหม่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย มันสำปะหลัง ถั่วเขียว กาแฟ ทุกพันธุ์ล้วนให้ผลผลิตสูง พร้อมเดินหน้าผลิตพันธุ์หลักให้เกษตรกรนำไปปลูก
เมื่อเร็วๆ นี้ นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าในแต่ละปีกรมวิชาการเกษตรจะมีพันธุ์พืชใหม่ๆ แนะนำออกสู่ไร่นาของเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ในปี 2552 นี้ กรมวิชาการเกษตรมีพันธุ์พืชใหม่ที่สำคัญที่จะแนะนำให้เกษตรกรนำไปปลูก จำนวน 5 พันธุ์ ได้แก่ อ้อยพันธุ์อู่ทอง 8 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมนครสวรรค์ 3 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 กาแฟอาราบิก้าพันธุ์เชียงใหม่ 80 และถั่วเขียวผิวดำพันธุ์ชัยนาท 80 ในโอกาสนี้ได้มอบพันธุ์พืชทั้ง 5 ชนิดให้เกษตรกรเพื่อนำไปปลูก ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขาชายธง คุณวินัย ฟักขาว และ คุณสุชิน แหวนเพชร เกษตรกรจาก ต.ลำพยนต์ อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ได้เดินทางเข้ารับมอบเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 3 และสายพันธุ์แท้พ่อ-แม่ จากรัฐมนตรีว่าการฯ สำหรับนำไปผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมนครสวรรค์ 3 ซึ่งพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์โดยศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์จนได้พันธุ์ที่มีคุณสมบัติตามต้องการคือ ให้ผลผลิตสูงใกล้เคียงกับพันธุ์ลูกผสมการค้า มีความทนทานแล้งในระยะออกดอก สามารถเก็บเกี่ยวด้วยมือง่าย
พร้อมกันนี้ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ยืนยันว่า พันธุ์พืชทั้ง 5 ชนิดนี้ กรมวิชาการเกษตรมีความพร้อมในการจัดเตรียมเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกรผู้สนใจได้นำไปเพาะปลูกในฤดูกาลเพาะปลูกที่จะถึงนี้ หากเกษตรกรสนใจสามารถคิดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์วิจัย ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของผลงานการปรับปรุงพันธุ์พืชชนิดนั้นๆ

เนื้อหา