ในปี 2559 การลดต้นทุนการผลิต เป็นวาระของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ทุกคนต้องดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การใช้พืชพันธุ์ดีในการเพาะปลูก จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิตได้
อ้อยพันธุ์อู่ทอง 14 และ พันธุ์อู่ทอง 15
ได้รับการรับรองเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร
ดำเนินการวิจัยโดย ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรี สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 กรมวิชาการเกษตร
อ้อยเป็นพืชอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญพืชหนึ่งของประเทศไทย สามารถใช้ผลิตน้ำตาลและเอทานอลได้ พื้นที่ปลูกอ้อยทั้งประเทศมีประมาณ 9.5 ล้านไร่
เกษตรกรสามารถผลิตอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลได้มากกว่า 100 ล้านตัน (เฉลี่ย 10.54 ตัน/ไร่) มีความหวานเฉลี่ย 11.64 ซีซีเอส
สามารถผลิตเป็นน้ำตาลได้
100.28
กิโลกรัมน้ำตาล/ตันอ้อย โดยมีการผลิตจากภาคเหนือ 25% ภาคกลาง 30% ภาคตะวันออก 5% และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 40%
โดยเฉลี่ยในภาคเหนือ
ภาคกลาง ภาคตะวันออก ยังมีผลผลิตอ้อยและน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เนื่องจากขาดการจัดการที่ดีในไร่อ้อยและขาดพันธุ์อ้อยที่เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่น พันธุ์อ้อยแต่ละพันธุ์เกษตรกรสามารถใช้ปลูกได้ประมาณ 6-10
ปี เพราะโรคและแมลงศัตรูอ้อยมีมาก งานวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อยให้เหมาะสมกับแหล่งปลูกในภาคเหนือ
ภาคกลางและตะวันออก จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
พันธุ์อ้อยที่เกษตรกรใช้ปลูกกันในปัจจุบันมีเพียงไม่กี่พันธุ์
แต่ละพันธุ์ไม่มีความเฉพาะเจาะจงกับพื้นที่ปลูก
เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีปัจจัยที่แตกต่างกัน ทั้งสภาพดิน
สภาพอากาศหรือแหล่งน้ำ
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรีตระหนักว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อยที่เหมาะสมกับพื้นที่ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2537
จนได้พันธุ์อ้อยที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูกอ้อยของแต่ละภูมิภาค
อ้อยพันธุ์อู่ทอง 14
หากพิจารณาในด้านสภาพดิน
สภาพดินด่างเป็นปัญหาหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก ซึ่งการปลูกอ้อยที่ไม่เหมาะสมกับดินด่างจะทำให้พันธุ์อ้อยมีการเจริญเติบโตต่ำ
จึงได้มีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อยพันธุ์อู่ทอง 14
เพื่อให้สามารถเจริญเติบโตได้ดี
ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพความหวานสูงในพื้นที่ดังกล่าว
อ้อยพันธุ์อู่ทอง 14 (94-2-106) เป็นลูกผสมของพันธุ์แม่ 84-2-646
กับพันธุ์พ่ออู่ทอง 3
ดำเนินการผสมพันธุ์ตั้งแต่ปี 2537 ทำการคัดเลือกปลูกเปรียบเทียบ ทดสอบพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้อ้อยพันธุ์อู่ทอง 14
ในปี 2556
ลักษณะเด่น
สามารถเจริญเติบโตได้ดีพื้นที่ดินด่างที่มีค่า pH 7.5-8.1
ปลูกได้ผลผลิตดีในเขตน้ำฝน
มีความต้านทานโรคเหี่ยวเน่าแดงปานกลาง
จากผลการทดสอบพันธุ์เมื่อปลูกอ้อยพันธุ์อู่ทอง 14 ในพื้นที่ดินด่างที่มีค่า pH 7.8 จะให้ผลผลิตน้ำหนักเฉลี่ย 21.19 ตัน/ไร่ ผลผลิตน้ำตาลเฉลี่ย 3.34 ตันซีซีเอส/ไร่
หากปลูกในชุดดินตาคลีที่มีค่า pH 8.1 อ้อยพันธุ์อู่ทอง 14 จะให้ผลผลิตน้ำหนัก 17.1 ตัน/ไร่ในอ้อยปลูก และ 11 ตัน/ไร่ในอ้อยตอ 1 สำหรับการปลูกในดินชุดลำนารายณ์ที่มีค่า pH 8.0 ในกรณีที่ไม่มีการปรับปรุงดินจะให้ผลผลิตน้ำหนักเฉลี่ย 27.32 ตัน/ไร่ แต่หากมีการปรับปรุงดินด้วยการใส่กำมะถันผงในอ้อยปลูก จะให้ผลผลิตน้ำหนัก 28.64 ตัน/ไร่
หากปลูกในชุดดินตาคลีที่มีค่า pH 8.1 อ้อยพันธุ์อู่ทอง 14 จะให้ผลผลิตน้ำหนัก 17.1 ตัน/ไร่ในอ้อยปลูก และ 11 ตัน/ไร่ในอ้อยตอ 1 สำหรับการปลูกในดินชุดลำนารายณ์ที่มีค่า pH 8.0 ในกรณีที่ไม่มีการปรับปรุงดินจะให้ผลผลิตน้ำหนักเฉลี่ย 27.32 ตัน/ไร่ แต่หากมีการปรับปรุงดินด้วยการใส่กำมะถันผงในอ้อยปลูก จะให้ผลผลิตน้ำหนัก 28.64 ตัน/ไร่
ปัจจุบันพื้นที่ปลูกอ้อยที่อยู่ในชุดดินตาคลี ซึ่งมีประมาณ
300,000 ไร่
เมื่อเกษตรกรนำอ้อยพันธุ์อู่ทอง
14
ไปปลูกในพื้นที่ ทำได้ผลผลิตสูงขึ้นประมาณ
2 ตัน/ไร่ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 600
ล้านบาทต่อปี
พื้นที่แนะนำ
ควรปลูกอ้อยพันธุ์อู่ทอง 14 ในพื้นที่ปลูกปลายฝนเขตน้ำฝน จังหวัดนครสวรรค์ บุรีรัมย์
ขอนแก่น และในพื้นที่ต้นฝน จังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี
กาญจนบุรี
อ้อยพันธุ์อู่ทอง 15
อ้อยพันธุ์อู่ทอง 15 ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในเขตน้ำฝน
ซึ่งหากพิจารณาจากสภาพแหล่งน้ำที่ใช้ในการปลูกอ้อย สามารถแบ่งออกเป็น 3
สภาพ คือ
1. การปลูกอ้อยโดยใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียว
2. การปลูกอ้อยโดยมีการใช้น้ำบนดินและใต้ดินเสริม
3. การปลูกอ้อยในเขตชลประทาน
ซึ่งปลูกอ้อยที่ใช้ปลูกในสภาพพื้นที่แตกต่างกันย่อมต้องเป็นพันธุ์ที่แตกต่างกันด้วย
1. การปลูกอ้อยโดยใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียว
2. การปลูกอ้อยโดยมีการใช้น้ำบนดินและใต้ดินเสริม
3. การปลูกอ้อยในเขตชลประทาน
ซึ่งปลูกอ้อยที่ใช้ปลูกในสภาพพื้นที่แตกต่างกันย่อมต้องเป็นพันธุ์ที่แตกต่างกันด้วย
พื้นที่ปลูกอ้อยของประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในเขตอาศัยน้ำฝน 80%
โดยสภาพทั่วไปของอ้อยที่ปลูกในเขตอาศัยน้ำฝน ต้นอ้อยจะเตี้ยมีการพัฒนาอ้อยให้เป็นลำเก็บเกี่ยวต่ำ ไม่สามารถไว้ตอได้
จากการดำเนินการปรับปรุงพันธุ์อ้อยที่ผ่านมาของสถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรี
ได้แนะนำพันธุ์อ้อยให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่เขตใช้น้ำฝนหลายพันธุ์ เช่น
ขอนแก่น 1 ขอนแก่น 80 ขอนแก่น
3 อู่ทอง 5
สุพรรณบุรี 80 อู่ทอง
13
แต่ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของอ้อยในแต่ละแหล่งยังไม่คงที่และต่ำอยู่
การปลูกอ้อยในสภาพใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียวจะต้องเป็นพันธุ์อ้อยที่มีการย่างปล้องและยืดปล้องเร็ว เพื่อให้มีจำนวนลำอ้อยเก็บเกี่ยวได้และไว้ตอได้
อ้อยพันธุ์อู่ทอง 15 (94-2-254) เป็นลูกผสมตัวเองของพันธุ์อู่ทอง 2
เมื่อปี 2537 จากนั้นดำเนินการคัดเลือก ปลูกเปรียบเทียบ ทดสอบพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้อ้อยพันธุ์อู่ทอง 15
ในปี 2557
ลักษณะเด่น ให้ผลผลิตสูง ผลผลิตน้ำหนักเฉลี่ย 16.97
ตัน/ไร่ ผลผลิตน้ำตาลเฉลี่ย 2.47 ตันซีซีเอส/ไร่
แต่หากปลูกในฤดูปลายฝนเขตน้ำฝนจะได้ผลผลิตสูงกว่าประมาณ 1
ตัน/ไร่ โดยจะได้ผลผลิตน้ำหนักเฉลี่ย 17.91
ตัน/ไร่
แต่ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีน้ำขัง
และระวังโรคเหี่ยวเน่าแดงระบาด
พื้นที่แนะนำ
ควรปลูกอ้อยพันธุ์อู่ทอง 15 ในดินร่วนปนทราย จังหวัดเพชรบุรี กาญจนบุรี
สุพรรณบุรี
หรือในฤดูปลายฝนเขตน้ำฝน
จังหวัดบุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา
ชลบุรี หรือในฤดูต้นฝนเขตน้ำฝน จังหวัดลพบุรี
กาญจนบุรี
การปรับปรุงพันธุ์พืชของกรมวิชาการเกษตร
นักวิจัยยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพืชหลายชนิดจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลานานในการปรับปรุงพันธุ์
เพื่อให้เหมาะสมตรงตามความต้องการของเกษตรกร
การใช้พันธุ์พืชให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ปลูกเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากช่วยเพิ่มผลผลิต
และลดโอกาสในการสูญเสียผลผลิตจากการเจริญเติบโตด้วยปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวย
สอบถามรายละเอียด
: ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรี
โทร. 035-551543, 035-551433
โทร. 035-551543, 035-551433
ที่มา:
น.ส.พ. กสิกร ฉบับที่ 5 กันยายน-ตุลาคม 2558 หน้า 38-40