24 พฤศจิกายน 2553

โรคราแป้ง ในถั่วเขียว

เกษตรกรที่ปลูกถั่วเขียวในช่วงหน้าแล้ง ให้หมั่นตรวจแปลงเพื่อติดตามการระบาดของโรคราแป้ง
ซึ่งบางพื้นที่เริ่มพบการระบาดของโรคในถั่วเขียวที่มีอายุประมาณเกือบหนึ่งเดือน

โรคราแป้งเกิดจากเชื้อรา Oidium sp. ระบาดในสภาพอากาศที่แห้ง และเย็น ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์

โรคราแป้ง จะเกิดที่ใบล่างๆ ก่อน ระยะแรกจะเห็นสปอร์สีขาวคล้ายผงแป้งบนใบ ระยะต่อมา ใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และใบแห้งในที่สุด ถ้าถั่วเขียวเป็นโรคระยะออกดอกและติดฝัก จะทำให้ต้นแคระแกร็น ติดฝักน้อย ฝักและเมล็ดมีขนาดเล็ก

การพ่นด้วยสารเบโนมิล (benomyl 50% WP) อัตรา 15-20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อถั่วเขียวอายุ 30 วัน และพ่นซ้ำอีกทุก 10 วัน รวม 3 ครั้ง สามารถป้องกันกำจัดโรคราแป้งได้


แปลงปลูกถั่วเขียวพันธุ์ชัยนาท 36


ราแป้งเริ่มทำลายที่ใบเลี้ยง




โครงสร้างของเชื้อ Oidium sp.

ลักษณะสปอร์ของเชื้อ Oidium sp.
















                       


16 พฤศจิกายน 2553

ซื้อปุ๋ยอย่างไร...ให้คุ้มค่าเงิน



ปุ๋ยเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญและจำเป็นต่อการปลูกพืช เป็นส่วนที่จะทำให้ต้นทุนการปลูกพืชเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการพิจารณาเลือกซื้อปุ๋ยเพื่อให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุดเป็นสิ่งที่เกษตรกรควรให้ความสนใจ ในท้องตลาดมีปุ๋ยเคมีผลิตมาจำหน่ายหลายสูตรมากเกินความจำเป็น ก็เพื่อประโยชน์ในการขายให้ได้กำไรมากที่สุด โดยผู้ผลิตลงทุนต่ำที่สุด ธาตุอาหารที่อยู่ในปุ๋ยแต่ละตัวมีราคาไม่เท่ากัน ธาตุอาหารฟอสฟอรัส (P) ราคาแพงที่สุด ธาตุอาหารไนโตรเจน (N) รองลงมา และธาตุอาหารโพแทสเซียม (K) ราคาถูกที่สุด ดังนั้นผู้ผลิตสูตรต่าง ๆ จึงพยายามหลีกเลี่ยงการผลิตปุ๋ยที่มี P สูง เพราะจะทำให้ต้นทุนสูง

วิธีการง่ายๆ ในการคิด ก่อนตัดสินใจซื้อปุ๋ยมาใช้ให้คุ้มค่าของเงินที่เสียไป มีขั้นตอนดังต่อนี้

กำหนดค่าของธาตุอาหารตามราคา คือ
ธาตุอาหารฟอสฟอรัส (P) ให้มีค่า 3
ธาตุอาหารไนโตรเจน (N) ให้มีค่า 2
ธาตุอาหารโพแทสเซียม (K) ให้มีค่า 1
** เป็นการสมมุติเพื่อประโยชน์ในการคำนวณเท่านั้น **

ขั้นต่อไป เอาค่าของธาตุอาหาร NPK ที่สมมุติ มาคูณกับธาตุอาหารหลักของแต่ละสูตร โดยจัดแยกกลุ่มที่มีสูตรธาตุอาหารใกล้เคียงกัน เช่น

สูตรปุ๋ย................คูณ กับค่าของ NPK............................มีคุณค่าของสูตร
16-8-8.......(16x2) – (8x3) - (8x1)...เท่ากับ 32+24+8.............= 64
16-12-8.....(16x2) – (12x3) - (8x1)...เท่ากับ 32+36+8.............= 76
16-16-8.....(16x2) – (16x3) - (8x1)...เท่ากับ 32+48+8.............= 88
16-20-0.....(16x2) – (20x3) - (0x1)...เท่ากับ 32+60+0.............= 92

จากนั้น คิด ค่าการเอาเปรียบ
ให้เอาคุณค่าของแต่ละสูตรที่คำนวณได้ ไปหาร ราคาขายแต่ละกระสอบ จะได้ ค่าการที่เอาเปรียบของแต่ละสูตร ตัวเลขยิ่งมากเท่าใด แสดงว่าสูตรนั้นยิ่งเอาเปรียบมาก คุ้มค่าเงินน้อย

เช่น
• สูตร 16-8-8 มีคุณค่าของสูตร 64 ขายกระสอบละ 510 บาท มีค่าการเอาเปรียบ = 510÷64 = 7.97
• สูตร 16-12-8 มีคุณค่าของสูตร 76 ขายกระสอบละ 590 บาท มีค่าการเอาเปรียบ = 590÷76 = 7.76
• สูตร 16-16-8 มีคุณค่าของสูตร 88 ขายกระสอบละ 510 บาท มีค่าการเอาเปรียบ = 510 ÷88 = 5.80
• สูตร 16-20-0 มีคุณค่าของสูตร 92 ขายกระสอบละ 510 บาท มีค่าการเอาเปรียบ = 510÷92 = 5.54

จะเห็นว่าสูตร16-8-8 เอาเปรียบเกษตรกรมากที่สุด เพราะมีค่าการเอาเปรียบถึง 7.97
ส่วนสูตร 16-20-0 เอาเปรียบเกษตรกรน้อยกว่า มีค่าการเอาเปรียบ 5.54 เท่านั้น
ดังนั้น ควรเลือกซื้อสูตร 16-20-0 เพราะเอาเปรียบเกษตรกรน้อยกว่า
แต่ถ้าต้องการธาตุอาหารโพแทสเซียม (K) ก็ควรใช้สูตร 16-16-8 จะคุ้มค่าที่สุด เพราะมีค่าการเอาเปรียบ 5.8

สรุปแล้ว ถ้าปุ๋ยมีราคาขายแต่ละกระสอบเท่ากัน ให้เลือกซื้อสูตรที่มีค่าการขายที่เอาเปรียบน้อยกว่า จะคุ้มค่าเงินที่สุด

ดังนั้นถ้ามีสูตรปุ๋ยใหม่ๆแปลกๆออกมาวางขายในท้องตลาด เกษตรกรสามารถ คำนวณตามวิธีที่กล่าวมาข้างต้น
เปรียบเทียบดู แล้วเลือกซื้อปุ๋ยสูตรที่คุ้มค่าเงินที่สุด

ที่มา:คู่มือการผสมปุ๋ยใช้เอง

15 พฤศจิกายน 2553

ระยอง 11 : มันสำปะหลังแป้งสูง


ภาพที่ 1 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 11 อายุ 3 เดือน


ภาพที่ 2 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 11 อายุเก็บเกี่ยว 12 เดือน


ภาพที่ 3 มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 11 อายุเก็บเกี่ยว 12 เดือน

มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 11
เกิดจากการผสมข้ามระหว่างพันธุ์ระยอง 5 และ พันธุ์ OMR 29-20-118 ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2535 ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง ผ่านการประเมินศักยภาพของพันธุ์ ณ ศูนย์วิจัย ศูนย์บริการวิชาการ และการทดสอบในไร่เกษตรกรในจังหวัดต่างๆ ที่เป็นแหล่งปลูกมันสำปะหลังที่สำคัญ จนได้พันธุ์ CMR 35-22-196 ผ่านการรับรองพันธุ์จากคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ให้เป็นพันธุ์รับรอง โดยได้ตั้งชื่อพันธุ์ว่า ระยอง 11

ลักษณะเด่น
มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 11 หรือ ที่เกษตรกรรู้จักกันดีในชื่อพันธุ์ “ เขียวปลดหนี้ ” ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4.44 ตัน/ไร่ ให้เปอร์เซ็นต์แป้ง 26.1เปอร์เซ็นต์ เมื่อเก็บเกี่ยวในฤดูแล้งเปอร์เซ็นต์แป้งจะสูงถึง 29-32 เปอร์เซ็นต์ เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตแป้งและเปอร์เซ็นต์แป้งสูงกว่าพันธุ์มาตรฐานทุกพันธุ์ นอกจากนี้ยังทนต่อสภาพแล้งได้ดี ต้านทานต่อโรคไหม้ และโรคใบจุดสีน้ำตาล

เกษตรกร หรือผู้สนใจที่จะปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 11 สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชไร่ หรือ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร ซึ่งอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ

15 ตุลาคม 2553

โรคแอนแทรคโนส ในมันสำปะหลัง

โดย รังษี เจริญสถาพร และ อมรรัชฏ์ คิดใจเดียว
สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร

ในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง เนื่องจากฝนตกชุกติดต่อกันเช่นนี้ นอกจากจะพบการระบาดของโรคใบไหม้ และโรคใบจุดในมันสำปะหลัง แล้ว
อาจพบการระบาดของโรคแอนแทรคโนสในบางพื้นที่ด้วย

โรคแอนแทรคโนส เกิดจากเชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides f.sp.manihotis

ลักษณะอาการโรค : มีอาการหลายแบบ ขึ้นอยู่กับพันธุ์มันสำปะหลัง สภาพแวดล้อม ได้แก่ ความชื้นหรือปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และส่วนของพืชที่เป็นโรค

ลักษณะอาการทั่วๆ ไป มีดังนี้ ลำต้นแก่ เป็นแผลที่มีขอบเขตแน่นอน สีน้ำตาลหรือสีดำ ถ้ามีปริมาณน้ำฝนมากหรือความชื้นสูงๆ แผลจะขยายตัว ลามขึ้นสู่ส่วนยอด

ลำต้นอ่อน แผลมีขอบเขตไม่แน่นอน สีน้ำตาลอ่อน เมื่อมีความชื้นสูงจะขยายตัวสู่ส่วนยอด ทำให้ยอดตายอย่างรวดเร็ว

ก้านใบ เป็นรอยไหม้ที่โคนก้านใบติดกับลำต้น และก้านใบส่วนที่ติดกับตัวใบหักลู่ลง ในที่สุดจะหลุดร่วงทั้งต้น

ใบ มีอาการไหม้ที่ขอบใบและปลายใบ ขยายตัวเข้าสู่กลางใบ ในที่สุดตัวใบจะไหม้หมด และหลุดร่วง

ถ้าเป็นพันธุ์ที่อ่อนแอมาก จะยืนต้นตาย ส่วนพันธุ์ที่ค่อนข้างทนทานต่อโรค ยอดจะหัก แต่สามารถแตกกิ่งหรือยอดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้
บางพันธุ์จะพบโคนลำต้นที่ติดกับพื้นดิน มีลักษณะบวมพอง เปลือกลำต้นแตกเป็นริ้วๆ เมื่อเวลาลมพัดจะเปราะหักลงได้ง่าย

ปัจจัยที่ทำให้เป็นโรครุนแรง :
ต้นมันสำปะหลังที่ขาดธาตุอาหาร โดยเฉพาะธาตุโปแตสเซียม และการให้ปุ๋ยไนโตรเจนมากๆ ในช่วงฤดูที่มีปริมาณน้ำฝนสูงๆ

ช่วงเวลาที่พบโรค :
โรคจะบาดและมีอาการโรครุนแรงในช่วงที่มีปริมาณน้ำฝนมากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน

การแพร่ระบาด :
ติดไปกับท่อนพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ ฝน ลม แมลง และอุปกรณ์ทางการเกษตรต่าง ๆ

ความเสียหายทางเศรษฐกิจ :
สายพันธุ์หรือพันธุ์มันสำปะหลังที่อ่อนแอต่อโรค และมันสำปะหลังที่เป็นโรคหลังจากมีอายุ 5 เดือน จะยืนต้นตาย ทำให้เสียหายมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์

ส่วนสายพันธุ์หรือพันธุ์มันสำปะหลังที่ค่อนข้างทนทานต่อโรค ยอดจะเน่าตาย จะมีการเจริญเติบโตของกิ่งและยอดใหม่ ทำให้น้ำหนักของผลผลิตลดลงหรือการเก็บเกี่ยวล่าช้า ผลผลิตเสียหาย 30-40 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ ยังมีผลต่อการนำไปเป็นท่อนพันธุ์ เนื่องจากท่อนพันธุ์จากต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคแอนแทรคโนส แตกหน่อใหม่เพียง 40-60 เปอร์เซ็นต์ และระยะเวลาการแตกหน่อจะช้ากว่าปกติ 7-8 วัน ส่วนการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดจากต้นที่เป็นโรคจะงอกเพียง 20-40 เปอร์เซ็นต์

แนวทางการป้องกันกำจัด :
- การใช้พันธุ์ต้านทานโรค เป็นวิธีการป้องกันกำจัดที่ดีที่สุดและมีค่าใช้จ่ายต่ำสุด เท่าที่มีรายงานจากเอกสารต่างๆ พบว่า สายพันธุ์ TME 30001, 30211, 91/00684 และ 91/00313 สามารถต้านทานต่อโรคนี้ได้

ส่วนในประเทศไทย การปลูกมันสำปะหลังที่ผ่านมา ยังไม่มีรายงานการระบาดของโรคแอนแทรคโนสอย่างรุนแรง จึงยังมิได้ดำเนินการคัดพันธุ์ต้านทานต่อโรคนี้ แต่เท่าที่มีรายงานการระบาดของโรคแอนแทรคโนสอย่างรุนแรงในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ถึงปัจจุบัน พันธุ์มันสำปะหลังที่แสดงอาการโรครุนแรง คือ พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 90 ระยอง 72 และ ระยอง 11(CMR 35-22-196 หรือ เขียวปลดหนี้)
จึงต้องควรเฝ้าระวังการระบาดของโรคในพันธุ์หรือสายพันธุ์ดังกล่าว รวมทั้งพันธุ์หรือสายพันธุ์ที่มีความใกล้ชิดกัน

- การจัดการด้านเขตกรรม (Cultural control) ได้แก่ การปลูกพืชหมุนเวียน การไถกลบฝังลึกๆ เศษซากมันสำปะหลังที่ติดเชื้อ และการใช้ท่อนพันธุ์ปลอดโรค ช่วยลดปริมาณเชื้อราสาเหตุในดินและลดการแพร่กระจายของโรคได้

การเลื่อนฤดูการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เพื่อมิให้ระยะการเจริญเติบโตที่อ่อนแอต่อโรคตรงกับช่วงที่มีปริมาณเชื้อราสาเหตุโรคสูงมากๆ คือ ช่วงเวลาที่มีปริมาณน้ำฝนมาก

ในประเทศไทย ควรปลูกมันสำปะหลังข้ามฤดูแล้ง เมื่อถึงช่วงที่มีการระบาดของโรคสูงๆ เดือนกรกฎาคม-กันยายน ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนมาก มันสำปะหลังที่ปลูกข้ามฤดูแล้ง จะมีอายุเกินระยะการเจริญเติบโตที่อ่อนแอต่อโรค ประมาณ 6 เดือนหลังปลูก แม้ว่าอายุการเจริญเติบโตช่วงนี้ จะมีการติดเชื้อโรคบ้าง แต่ไม่มีผลเสียหายต่อผลผลิตถึงระดับเศรษฐกิจ และที่ควรระวัง ต้องไม่นำต้นมันสำปะหลังที่ติดเชื้อโรคนี้ไปเป็นท่อนพันธุ์สำหรับปลูกในฤดูถัดไป

- การใช้สารเคมี (Chemical control) ต้องใช้ในกรณีที่ไม่มีวิธีการใดสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว หรือโรคเกิดการระบาดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ใช้สารเคมีประเภทที่มีองค์ประกอบของทองแดง (copper fungicide)
การใช้สารธรรมชาติทดแทนสารเคมี มีเอกสารต่างประเทศรายงานว่า การใช้สารสกัดจากสะเดา (Neem) กับท่อนพันธุ์ก่อนปลูก สามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้

อาการบนใบ








อาการบนก้านใบ



อาการบนลำต้น


อาการที่ยอด



อาการยืนต้นตาย

13 ตุลาคม 2553

ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ แนะการจัดการดินเพื่อเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังในพื้นที่ จ.นครสวรรค์


นายดาวรุ่ง คงเทียน นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เปิดเผยว่า พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังของจังหวัดนครสวรรค์ครอบคลุมดินหลายชุด การแสดงออกของพันธุ์จึงแตกต่างกันไป งานวิจัยการจัดการธาตุอาหารของมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 7 ในสภาพดินของจังหวัดนครสวรรค์ 3 ชุดดิน ได้แก่ ชุดดินลพบุรี ชุดดินวังไฮ และชุดดินตาคลี นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการเลือกพันธุ์ไปปลูกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของตน

จากผลการวิจัยของศูนย์ฯ นายดาวรุ่ง คงเทียน แนะนำว่า การปลูกมันสำปะหลังบนชุดดินดังกล่าว ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 7 ที่อายุเก็บเกี่ยว 8 เดือน จะให้ผลผลิตสูงและมีต้นทุนการผลิตต่ำ นอกจากนี้ มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 7 มีความเหมาะสมที่จะปลูกในชุดดินลพบุรี และชุดดินวังไฮ ไม่เหมาะที่จะปลูกในชุดดินตาคลี เนื่องจากชุดดินตาคลีมีค่าความเป็นกรดและด่างประมาณ 7.5-8.0 และมีเม็ดปูนปะปนบนผิวดิน ทำให้มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 7 ซึ่งไม่ทนต่อสภาพดินด่าง แสดงอาการใบเหลืองซีดจนถึงใบไหม้ ผลผลิตต่ำ เช่นเดียวกับพันธุ์ระยอง 9

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0-5624-1019

7 ตุลาคม 2553

โรคราน้ำค้างของข้าวโพด

จนถึงปัจจุบัน โรคราน้ำค้าง หรือ โรคใบลาย ยังเป็นโรคที่มีความสำคัญที่สุดของข้าวโพด โรคราน้ำค้างจะระบาดรุนแรงมากเมื่อมีสภาพแวดล้อมเหมาะสม โดยเฉพาะในพันธุ์อ่อนแอต่อโรคและได้รับเชื้อขณะที่ต้นข้าวโพดยังเล็ก ทำให้ผลผลิตเสียหายถึง 100 เปอร์เซนต์
ข้าวโพดหวานและข้าวโพดเทียนมีความอ่อนแอต่อโรคมาก ในข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดให้มีความต้านทานต่อโรค แนะนำให้เกษตรปลูก เช่น  พันธุ์ลูกผสมนครสวรรค์ 3

ในแหล่งที่โรคราน้ำค้างระบาดไม่รุนแรง สภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงเนื่องจากมีฝนตกชุกหนาแน่น มีผลทำให้โรคราน้ำค้างระบาดรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าจะไม่มีการปลูกเชื้อในแปลงทดสอบ การปลูกข้าวโพดหวานซึ่งมีความอ่อนแอต่อโรคสามารถเป็นแหล่งแพร่เชื้อ (source of inoculum)ให้กับข้าวโพดที่ปลูกในบริเวณเดียวกัน ทำให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นโรคมากขึ้น


ภาพที่ 1


ภาพที่ 2
ภาพที่ 1 และ ภาพที่2 อาการของโรคราน้ำค้าง (typical symptom)เกิดเป็นแถบสีขาว เขียวอ่อนหรือเหลืองอ่อนตามความยาวของใบ แถบดังกล่าวอาจยาวติดต่อกันไปหรือขาดเป็นช่วง


ภาพที่ 3 เมื่อเชื้อเข้าทำลายตั้งแต่ต้นเล็ก จะพบลักษณะอาการเป็นปื้นสีเหลืองกือบทั้งใบ หรือใบของส่วนยอดมีสีเหลืองทั้งใบ


ภาพที่ 4


ภาพที่ 5
ภาพที่ 4 และ ภาพที่ 5 ในตอนเช้าจะเห็นผงสีขาวซึ่งเป็นเส้นใยและสปอร์ของเชื้อทั้งบนใบและใต้ใบ


ภาพที่ 6 เมื่อเขี่ยผงสีขาวจากใบมาตรวจสอบ พบ cornidia จำนวนมาก ในภาพ cornidia งอก สร้าง germ tube


ภาพที่ 7 ต้นเป็นโรค


ภาพที่ 8 อาการเริ่มแรกของโรคใบไหม้แผลใหญ่ที่มีลักษณะเป็นแผลสีเหลือง เกิดบนใบที่เป็นโรคราน้ำค้าง


ภาพที่ 9 ในสภาพที่มีการระบาดของโรคตามธรรมชาติ ข้าวโพดลูกผสมพันธุ์การค้าเป็นโรครุนแรง ไม่สร้างเกสรตัวผู้และฝัก (แถวซ้าย)
ข้าวโพดลูกผสม NSX062006 ต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง (แถวขวา)


ภาพที่ 10 ในสภาพที่มีการระบาดตามธรรมชาติ ข้าวโพดสายพันธุ์แท้ตากฟ้า 1 ต้านทานต่อโรค (แถวซ้าย)
เปรียบเทียบกับข้าวโพดสายพันธุ์แท้ที่อ่อนแอต่อโรค (แถวขวา)

21 กันยายน 2553

อบรมการเลือกพันธุ์มันสำปะหลัง และการผลิตท่อนพันธุ์มันสะอาด

เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร ได้จัดให้มีการฝึกอบรม เรื่อง “การจัดการพันธุ์มันสำปะหลังให้เหมาะสมกับพื้นที่โดยการใช้ท่อนพันธุ์มันฯ สะอาด” ณ อาคารเอนกประสงค์ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ โดยมี นายพิเชษฐ์ กรุดลอยมา ผอ. ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เป็นประธานในการเปิดการฝึกอบรม

วัตถุประสงค์ของการอบรมเพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังมีความรู้ในการเลือกพันธุ์มันสำปะหลังที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ปลูกของตน เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง และเรียนรู้วิธีการสำรวจและการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งเพื่อไม่ให้มีการระบาดในแปลงปลูก ทำให้เกษตรกรมีท่อนพันธุ์ที่ปราศจากเพลี้ยแป้งสำหรับปลูกและเป็นแหล่งกระจายท่อนพันธุ์ให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ

มีเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจากจังหวัดชัยนาท นครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง เข้ารับการอบรม จำนวน 120 ราย การอบรมครั้งนี้นอกจากจะให้ความรู้ด้านการเลือกพันธุ์มันสำปะหลังแล้ว นางสาวอมรา ไตรศิริ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ได้บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งในมันสำปะหลัง

เนื้อหา