25 กรกฎาคม 2557

ซื้อปุ๋ยอย่างไร ให้คุ้มค่าเงิน



ปุ๋ยเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญและจำเป็นต่อการปลูกพืช เป็นส่วนที่จะทำให้ต้นทุนการปลูกพืชเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการพิจารณาเลือกซื้อปุ๋ยเพื่อให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุดเป็นสิ่งที่เกษตรกรควรให้ความสนใจ ในท้องตลาดมีปุ๋ยเคมีผลิตมาจำหน่ายหลายสูตรมากเกินความจำเป็น ก็เพื่อประโยชน์ในการขายให้ได้กำไรมากที่สุด โดยผู้ผลิตลงทุนต่ำที่สุด ธาตุอาหารที่อยู่ในปุ๋ยแต่ละตัวมีราคาไม่เท่ากัน ธาตุอาหารฟอสฟอรัส (P) ราคาแพงที่สุด ธาตุอาหารไนโตรเจน (N) รองลงมา และธาตุอาหารโพแทสเซียม (K) ราคาถูกที่สุด ดังนั้นผู้ผลิตสูตรต่าง ๆ จึงพยายามหลีกเลี่ยงการผลิตปุ๋ยที่มี P สูง เพราะจะทำให้ต้นทุนสูง

วิธีการง่ายๆ ในการคิด ก่อนตัดสินใจซื้อปุ๋ยมาใช้ให้คุ้มค่าของเงินที่เสียไป มีขั้นตอนดังนี้

กำหนดค่าของธาตุอาหารตามราคา คือ
ธาตุอาหารฟอสฟอรัส (P) ให้มีค่า 3
ธาตุอาหารไนโตรเจน (N) ให้มีค่า 2
ธาตุอาหารโพแทสเซียม (K) ให้มีค่า 1
** เป็นการสมมุติเพื่อประโยชน์ในการคำนวณเท่านั้น **

ขั้นต่อไป เอาค่าของธาตุอาหาร NPK ที่สมมุติ มาคูณกับธาตุอาหารหลักของแต่ละสูตร โดยจัดแยกกลุ่มที่มีสูตรธาตุอาหารใกล้เคียงกัน เช่น

สูตรปุ๋ย................คูณ กับค่าของ NPK............................มีคุณค่าของสูตร
16-8-8.......(16x2) – (8x3) - (8x1)...เท่ากับ 32+24+8.............= 64
16-12-8.....(16x2) – (12x3) - (8x1)...เท่ากับ 32+36+8.............= 76
16-16-8.....(16x2) – (16x3) - (8x1)...เท่ากับ 32+48+8.............= 88
16-20-0.....(16x2) – (20x3) - (0x1)...เท่ากับ 32+60+0.............= 92

จากนั้น คิด ค่าการเอาเปรียบ
ให้เอาคุณค่าของแต่ละสูตรที่คำนวณได้ ไปหาร ราคาขายแต่ละกระสอบ จะได้ ค่าการที่เอาเปรียบของแต่ละสูตร ตัวเลขยิ่งมากเท่าใด แสดงว่าสูตรนั้นยิ่งเอาเปรียบมาก คุ้มค่าเงินน้อย

เช่น
• สูตร 16-8-8 มีคุณค่าของสูตร 64 ขายกระสอบละ 650 บาท มีค่าการเอาเปรียบ = 650÷64 = 10.15
• สูตร 16-12-8 มีคุณค่าของสูตร 76 ขายกระสอบละ 710 บาท มีค่าการเอาเปรียบ = 710÷76 = 9.34
• สูตร 16-16-8 มีคุณค่าของสูตร 88 ขายกระสอบละ 800 บาท มีค่าการเอาเปรียบ = 800 ÷88 = 9.09
• สูตร 16-20-0 มีคุณค่าของสูตร 92 ขายกระสอบละ 720 บาท มีค่าการเอาเปรียบ = 720÷92 = 7.82

จะเห็นว่าสูตร16-8-8 เอาเปรียบเกษตรกรมากที่สุด เพราะมีค่าการเอาเปรียบถึง 10.15
ส่วนสูตร 16-20-0 เอาเปรียบเกษตรกรน้อยกว่า มีค่าการเอาเปรียบ 7.82 เท่านั้น
ดังนั้น ควรเลือกซื้อสูตร 16-20-0 เพราะเอาเปรียบเกษตรกรน้อยกว่า
แต่ถ้าต้องการธาตุอาหารโพแทสเซียม (K) ก็ควรใช้สูตร 16-16-8 จะคุ้มค่าที่สุด เพราะมีค่าการเอาเปรียบ 9.09

สรุปแล้ว ถ้าปุ๋ยมีราคาขายแต่ละกระสอบเท่ากัน ให้เลือกซื้อสูตรที่มีค่าการขายที่เอาเปรียบน้อยกว่า จะคุ้มค่าเงินที่สุด

ดังนั้นถ้ามีสูตรปุ๋ยใหม่ๆแปลกๆออกมาวางขายในท้องตลาด เกษตรกรสามารถ คำนวณตามวิธีที่กล่าวมาข้างต้น
เปรียบเทียบดู แล้วเลือกซื้อปุ๋ยสูตรที่คุ้มค่าเงินที่สุด

ที่มา:คู่มือการผสมปุ๋ยใช้เอง

21 กรกฎาคม 2557

ศูนย์รับแจ้งเบาะแสปัจจัยการผลิตไม่ได้คุณภาพและรับเรื่องร้องเรียนปัญหาการเกษตร

ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ รับแจ้งเบาะแส ปัจจัยการผลิต ได้แก่ ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช พันธุ์พืช ที่ไม่ได้คุณภาพ รับเรื่องร้องเรียนปัญหาการเกษตร รวมทั้งให้คำแนะนำปัญหาในการผลิตพืช ตามนโยบายช่วยเหลือประชาชน ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

เกษตรกร หรือประชาชน สามารถแจ้งเบาะแส ร้องเรียน หรือ ขอรับคำปรึกษาได้ที่ ศูนย์วิจัยฯ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตรที่อยู่ใกล้บ้าน ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค



14 พฤษภาคม 2557

ผลกระทบของสารกำจัดวัชพืชที่ใช้ในการเกษตร

การใช้สารกำจัดวัชพืช หรือ ยาฆ่าหญ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดวัชพืชที่ขึ้นในแปลงปลูกทั้งบนดินและใต้ดิน เพื่อไม่ให้ไปแย่งปัจจัยการเจริญเติบโตจากพืชปลูก เป็นวิธีการที่เกษตรกรนิยมปฏิบัติ เนื่องจากสะดวก ให้ผลรวดเร็ว ไม่ต้องใช้แรงงานมาก

การใช้สารกำจัดวัชพืชต้องมีความรู้และใช้ให้ถูกต้อง สารกำจัดวัชพืชมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการเข้าทำลายในพืชต่าง ๆ กัน การใช้สารกำจัดวัชพืชให้ถูกชนิดและใช้ให้ถูกวิธีตามคำแนะนำ ทำให้สารมีประสิทธิภาพในการกำจัดได้ดี และไม่เป็นอันตรายต่อพืชที่ปลูก พืชชนิดอื่นในพื้นที่ข้างเคียง สิ่งแวดล้อม หรือต่อผู้ใช้เอง

ผลกระทบจากการใช้สารกำจัดวัชพืชที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักพบในช่วงต้นฤดูปลูก เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เกิดจากละอองสารกำจัดวัชพืชที่เกษตรกรพ่นเพื่อควบคุมวัชพืชในแปลงปลูกปลิวไปทำความเสียหายแก่พืชปลูกในพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียง เช่น การพ่นสารกำจัดวัชพืช อมิทริน อทราซีน หรือ ทูโฟว์ดี เพื่อกำจัดวัชพืชในไร่อ้อย มักส่งผลกระทบต่อพืชปลูกชนิดอื่น มันสำปะหลัง พริก และพืชใบกว้างอีกหลายชนิดมีความอ่อนแอต่อสารดังกล่าวและมักได้รับผลกระทบในแต่ละปี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว ในพื้นที่ที่มีการปลูกพืชต่างชนิดในบริเวณใกล้เคียงกัน เกษตรกรที่จะใช้สารกำจัดวัชพืช ควรศึกษาวิธีการใช้สารโดยอ่านจากฉลากอย่างละเอียด และเพิ่มความระมัดระวังในการใช้สารกำจัดวัชพืชมากขึ้น มีการพูดคุยทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการปลูกพืชหรือก่อนที่จะมีการพ่นสารกำจัดวัชพืช เพื่อป้องกันความเสียหายและลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างเกษตรกรด้วยกัน หากยังไม่เข้าใจในการใช้สารกำจัดวัชพืช สามารถขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง

ตากฟ้า 86-5 : ฝ้ายพันธุ์ใหม่เส้นใยสีเขียว

ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ โดย ดร.ปริญญา สีบุญเรือง นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ และคณะ ได้พัฒนาพันธุ์ฝ้ายเส้นใยสีเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดมลภาวะที่เกิดจากสารเคมีและน้ำเสียในการฟอกย้อม เพื่อเป็นการยกระดับมูลค่าผลผลิตฝ้าย และผลิตภัณฑ์สิ่งทอของไทย โดยการผสมข้ามระหว่างพันธุ์ตากฟ้า 2 ซึ่งเป็นพันธุ์ฝ้ายเส้นใยยาว ให้ผลผลิตสูง และทนทานต่อโรคใบหงิก กับพันธุ์ฝ้ายเส้นใยสีเขียวที่เส้นใยมีความยาวปานกลางแต่อ่อนแอต่อโรคใบหงิก

นำลูกผสมที่ได้รับไปทำการผสมย้อนกลับไปหาพันธุ์ตากฟ้า 2 อีก 4 ครั้ง แล้วทำการคัดเลือกจนได้สายพันธุ์ฝ้ายที่มีเส้นใยสีเขียวและมีคุณภาพเส้นใยที่ดี ประมาณ 20 สายพันธุ์ ในระหว่างปี 2543-2550 จากนั้นทำการประเมินผลผลิต และศึกษาข้อมูลจำเพาะอื่นๆ ในระหว่างปี 2551-2554 รวมทั้งสิ้นเป็นเวลา 12 ปี คัดเลือกจนได้พันธุ์ฝ้ายสีเขียวที่ให้ผลผลิตสูงสุด และมีคุณภาพเส้นใยดีที่สุด โดยเฉพาะความยาวและความนุ่ม สำหรับเผยแพร่และแนะนำสู่เกษตรกร ขณะนี้ศูนย์ฯ ได้ผลิตเมล็ดพันธุ์ฝ้าย ตากฟ้า 86-5 สำหรับจำหน่ายให้เกษตรกร ข้อมูลเพิ่มเติม โทร 0-5624-1019




จำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชไร่

14 พฤษภาคม 2557
ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เปิดจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชไร่ ดังนี้

1. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผสมเปิด พันธุ์นครสวรรค์ 1 ราคากิโลกรัมละ 20 บาท
2. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม พันธุ์นครสวรรค์ 3 ราคากิโลกรัมละ 70 บาท
3. ถั่วเหลืองพันธุ์นครสวรรค์ 1 ราคากิโลกรัมละ 22 บาท
4. ฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 3 ราคากิโลกรัมละ 15 บาท
5. ฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 84-4 ราคากิโลกรัมละ 15 บาท
6. ฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 86-5 ราคากิโลกรัมละ 15 บาท

ผู้สนใจสามารถติดต่อขอซื้อเมล็ดพันธุ์ ในวันและเวลาราชการ ได้ที่
ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ต.สุขสำราญ อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์
โทร. 0-5624-1019 โทรสาร 0-5624-1498

*** ปริมาณเมล็ดพันธุ์แต่ละพืชที่จำหน่ายอาจมีการเปลี่ยนแปลง จากวันที่ประกาศ ดังนั้น กรุณาโทรสอบถามก่อนการเดินทางมาซื้อเมล็ดพันธุ์ ***

19 กันยายน 2555

การจัดการธาตุอาหารที่เหมาะสมเพื่อการผลิตอ้อยปลูก ในดินเหนียวภาคกลาง


ดาวรุ่ง คงเทียน และคณะ

อ้อยเป็นพืชไร่เศรษฐกิจที่มีความสำคัญ นอกจากจะเป็นพืชอาหารและอุตสาหกรรมอื่นๆ แล้วยังมีศักยภาพสูงเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน โดยสามารถนำมาใช้ในการผลิตเอทานอลได้ทั้งรูปน้ำอ้อยสด กากน้ำตาล และมวลชีวภาพ (ลิกโนเซลลูโลส)

ในปี 2552/53 ภาคกลางมีพื้นที่ปลูกอ้อยประมาณ 2,042,227 ไร่ และภาคเหนือประมาณ 1,252,193 ไร่ ผลผลิตอ้อย เฉลี่ย 10.0 ตัน/ไร่ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร,2551) จากแนวนโยบายการพัฒนาอ้อยที่ให้รักษาพื้นที่ปลูก 7.0 ล้านไร่ และเพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 9.7 ตัน ในปี 2550 เป็น 15 ตัน ในปี 2555 ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยให้มีศักยภาพสูงขึ้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเขตที่มีความหลากหลายทั้งสภาพภูมิอากาศ (ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ) และชนิดของดิน (เนื้อดิน ความเป็นกรด-ด่างของดิน และปริมาณธาตุอาหารในดิน)

เพื่อแก้ปัญหาการผลิตอ้อยในเขตภาคกลาง ที่ดินปลูกอ้อยส่วนใหญ่เป็นดินเหนียวที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงแต่ก็มีปัญหาด้านกายภาพและเคมีบางประการ ผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการศึกษาการจัดการธาตุอาหารที่เหมาะสมในการเพิ่มผลผลิตอ้อยในสองชุดดิน ได้แก่ ชุดดินลำนารายณ์ และ ชุดดินลพบุรี เพื่อเป็นคำแนะนำแก่เกษตรกรที่ปลูกอ้อยให้จัดการดินที่ถูกต้องเหมาะสมและได้ผลผลิตสูง

ชุดดินลำนารายณ์ เป็นดินที่มีเนื้อดินเหนียวผสมกับทรายแป้ง เกิดจากการสลายตัวของหิน Basalt, Limestone, Andesite มีความลาดชัน 3-6 เปอร์เซ็นต์ ระบายน้ำดี น้ำใต้ดินต่ำกว่า 1.50 เมตร มีลักษณะการผสมกับเม็ดหินปูนกับเนื้อดิน ดินบนมีสีน้ำตาลเข้ม และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนแดงตามความลึกของดิน มีความอุดมสมบูรณ์ดี ลึกลงไปไม่เกิน 80 เซนติเมตรพบชั้นหินต้นกำเนิดสลายผุพังเห็นได้ชัด ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง (pH 8.0)

ภาพที่ 1 ภาพหน้าตัดชุดดินลำนารายณ์

ชุดดินลพบุรี เป็นดินเหนียวจัด ความเหนียวชนิด 2:1 (Montmorillonite) มีการระบายน้ำไม่ดี ดินบนสีดำและเปลี่ยนเป็นเทาดำและเทาตามความลึกหน้าตัดดิน มีปฏิกิริยาเป็นกรดอ่อน-ด่าง (pH 6.5-8.5) มีความอุดมสมบรูณ์และปริมาณอินทรียวัตถุสูง ศักยภาพการผลิตสูง แต่ธาตุฟอสฟอรัสถูกตรึงเอาใว้ ทำให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อย (สถาบันวิจัยพืชไร่, 2548) จึงแนะนำการใช้ปุ๋ยแบบเฉพาะพื้นที่กับพันธุ์อ้อยที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ภาพที่ 2 ภาพหน้าตัดชุดดินลพบุรี

ผลการศึกษา พบว่า การปลูกอ้อยในชุดดินลำนารายณ์ที่ไม่มีการปรับปรุงดิน อ้อยปลูกให้ผลผลิต 25.49 ตัน/ไร่ แต่เมื่อปรับปรุงดินด้วยผงกำมะถันอัตรา 100 กก./ไร่ อ้อยปลูกให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 27.80 ตัน/ไร่ โดยอ้อยโคลน 94-2-106 มีศักยภาพในการให้ผลผลิตในชุดดินลำนารายณ์สูงกว่าพันธุ์ LK92-11 ผลผลิตของอ้อยโคลน 94-2-106 เฉลี่ย 27.98 ตัน/ไร่ ในขณะที่ผลผลิตของพันธุ์ LK92-11 เฉลี่ย 24.31 ตัน/ไร่ การปลูกอ้อยโคลน 94-2-106 ในชุดดินลำนารายณ์ทั้งในสภาพที่ไม่ปรับปรุงดินและปรับปรุงดินด้วยผงกำมะถันอัตรา 100 กก./ไร่ ควรใส่ปุ๋ย 6-6-6 กก.N-P2O5-K2O /ไร่ ส่วนอ้อยพันธุ์ LK92-11 ควรใส่ปุ๋ย 12-6-6 กก.N-P2O5-K2O/ไร่ จึงจะคุ้มค่าต่อการลงทุน

ภาพที่ 3 การเจริญเติบโตของอ้อยโคลน 94-2-106 เปรียบเทียบกับพันธุ์ LK92-11 ที่ปลูกในดินชุดลำนารายณ์

ส่วนการปลูกอ้อยในชุดดินลพบุรีในสภาพที่ไม่ปรับปรุงดิน พบว่า อ้อยปลูกให้ผลผลิต 21.46 ตัน/ไร่ แต่เมื่อปรับปรุงดินด้วยมูลไก่แกลบอัตรา 800 กก./ไร่(น้ำหนักแห้ง) อ้อยปลูกให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 22.26 ตัน/ไร่ โดยพันธุ์ขอนแก่น 3 ให้ผลผลิต 23.74 ตัน/ไร่ มีศักยภาพในการให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ LK92-11 ซึ่งให้ผลผลิต 19.97 ตัน/ไร่ การปรับปรุงดินด้วยมูลไก่แกลบอัตรา 800 กก./ไร่(น้ำหนักแห้ง)สามารถลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนลงได้ โดยการปลูกอ้อยพันธุ์ขอนแก่น 3 ในชุดดินลพบุรีที่ไม่ปรับปรุงดินควรใส่ปุ๋ย 12-6-6 กก.N-P2O5-K2O /ไร่ แต่ถ้าปรับปรุงดินด้วยมูลไก่แกลบอัตรา 800 กก./ไร่(น้ำหนักแห้ง)ควรใส่ปุ๋ย 6-6-6 กก.N-P2O5-K2O N/ไร่ ส่วนการปลูกอ้อยพันธุ์ LK92-11 ถ้าไม่ปรับปรุงดินควรใส่ปุ๋ย 18-6-6 กก.N-P2O5-K2O แต่ถ้าปรับปรุงดินด้วยมูลไก่แกลบอัตรา 800 กก./ไร่(น้ำหนักแห้ง)ควรใส่ปุ๋ย 6-6-6 กก.N-P2O5-K2O/ไร่ จึงจะคุ้มค่าต่อการลงทุน

ภาพที่ 4 อ้อยพันธุ์ขอนแก่น 3 ปลูกในสภาพที่มีการปรับปรุงดินด้วยมูลไก่แกลบ+ปุ๋ยเคมี 6-6-6 กก. N-P2O5-K2O ต่อไร่

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.056-241019, email: nsfcrc@doa.in.th

27 มิถุนายน 2555

ขอเชิญเที่ยวงาน เกษตรรุ่งเรือง เมืองสี่แคว

ภาพข่าว : นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ แถลงข่าวการจัดงานเกษตรรุ่งเรือง เมืองสี่แคว และให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2555 เวลา 09.00น. ณ ห้องประชุม สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์

รายละเอียดการจัดงาน เกษตรรุ่งเรือง เมืองสี่แคว

จังหวัดนครสวรรค์ กำหนดจัดงาน เกษตรรุ่งเรือง เมืองสี่แคว ประจำปี 2555
ระหว่างวันที่ 13-22 กรกฎาคม 2555
ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์

เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ผลิตผลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงของอำเภอต่างๆ ในจังหวัดนครสวรรค์ และเป็นการสร้างเครือข่ายเชื่อโยงระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งจะทำให้การพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม เกิดความมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เกษตรกรเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย
1.นิทรรศการฐานความรู้ทางการเกษตร ด้านดิน น้ำ ข้าวพืชไร่ ไม้ผล พืชผัก ประมง ปศุสัตว์ เกษตรปลอดภัย ยางพารา องค์กรเกษตรกรเข้มแข็ง ปลดหนี้ด้วยบัญชีและเศรษฐกิจพอเพียง

2.การประกวด ได้แก่ ไม้ผล พืชผัก ทำอาหารจากปลานิล ประกวดภาพถ่ายปลานิล ประกวดวาดภาพระบายสีเกี่ยวกับปลานิล ประกวดปลานิลใหญ่ (ปลาเป็น) โคพันธุ์เนื้อ

3.การประกวด ได้แก่ ไม้ผล พืชผัก ทำอาหารจากปลานิล ประกวดภาพถ่ายปลานิล ประกวดวาดภาพระบายสีเกี่ยวกับปลานิล ประกวดปลานิลใหญ่ (ปลาเป็น) โคพันธุ์เนื้อ

4.การสาธิต ได้แก่ การสาธิตสีข้าว สาธิตทำกระเป๋าจากต้นกก สาธิตการทาบกิ่ง จำหน่ายพันธุ์ไม้ผล ผลิตภัณฑ์จากปลานิล อาหารจากปลานิล การฝึกโค และการจูงโค โชว์พ่อพันธุ์โคเนื้อ แพะเนื้อ การกรีดยาง ระบายสีตุ๊กตายาง สหกรณ์สอนอาชีพ

และยังมีการจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรที่ทางราชการส่งเสริม สนับสนุนจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้านการเกษตร สหกรณ์การเกษตร รวมทั้งกลุ่ม OTOP นอกจากนี้ยังมีสินค้าอีกหลากหลายมาจำหน่าย มีมหรสพ ดนตรี มาแสดงในงานทุกคืน

ขอเชิญเกษตรกรและผู้สนใจเข้าชมงานได้ ฟรี


เนื้อหา