17 กรกฎาคม 2561

การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินในการผลิตอ้อย

การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน คืออะไร?
การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน เป็นการใช้ปุ๋ยให้ตรงตามระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และตรงตามความต้องการของพืช ทำให้พืชเจริญเติบโตดี และการให้ผลตอบแทนคุ้มค่าแก่การลงทุน

สมบัติของดินที่เหมาะสมในการผลิตอ้อย
- ดินลึกมากกว่า 100 เซนติเมตร
- ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) 5.6-7.3
- อินทรียวัตถุ 1.5-2.5 %
- เนื้อดินร่วนปนทราย ถึงร่วนเหนียว
- โปร่ง ร่วนซุย และระบายน้ำดี
- ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 10-20 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
- โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 80-150  มิลลิกรัม/กิโลกรัม
- แคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ มากกว่า 110-125  มิลลิกรัม/กิโลกรัม
- แมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 12-30  มิลลิกรัม/กิโลกรัม

ความต้องการธาตุอาหารของอ้อย
ในการสร้างผลผลิต 1 ตัน อ้อยต้องการใช้ธาตุอาหาร
- ไนโตรเจน (N)              1.41    กิโลกรัม
- ฟอสฟอรัส (P)              0.61    กิโลกรัม
- โพแทสเซียม (K)            2.17    กิโลกรัม
- แคลเซียม (Ca)             0.51    กิโลกรัม
- แมกนีเซียม (Mg)           0.30    กิโลกรัม

คำแนะนำการใช้ปุ๋ยสำหรับอ้อย

การปรับปรุงดินก่อนการปลูกอ้อย
 - ดินทราย ดินร่วนปนทราย ควรปรับปรุงด้วยวัสดุอินทรีย์ เช่น กากตะกอนหม้อกรองอ้อย อัตรา 1 ตันต่อไร่
 - ดินที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง น้อยกว่า 5.6 ควรปรับปรุงดินด้วยโดโลไมท์ อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ โดยหว่านให้ทั่วแปลงก่อนไถเตรียมดิน

วิธีการใส่ปุ๋ย
การใส่ปุ๋ยอ้อย ควรแบ่งใส่ 2-3 ครั้ง
- ครั้งที่ 1 ใส่ปุ๋ยรองพื้นพร้อมปลูก ให้มีธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ครบทั้ง 3 ธาตุ เช่น ปุ๋ย 16-16-8
- ครั้งที่ 2 เมื่ออ้อยอายุ 3-4 เดือน  หรือ 5-6 เดือน (สำหรับอ้อยที่ปลูกข้ามแล้ง) และดินมีความชื้นเหมาะสม ใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) และปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) โดยโรยเป็นแถวสองข้างต้นแล้วพรวนกลบ

การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน สำหรับอ้อยปลูก



 การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน สำหรับอ้อยตอ



แหล่งข้อมูล
กลุ่มวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร ปี 2561

ติดต่อสอบถาม
โทร. 0-2561-4681 โทรสาร 0-2940-5942
กลุ่มวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร

การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินในการผลิตมันสำปะหลัง

การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน คืออะไร?
การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน เป็นการใช้ปุ๋ยให้ตรงตามระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และตรงตามความต้องการของพืช ทำให้พืชเจริญเติบโตดี และการให้ผลตอบแทนคุ้มค่าแก่การลงทุน

สมบัติของดินที่เหมาะสมในการผลิตมันสำปะหลัง
  •        ค่าการนำไฟฟ้าเมื่ออิ่มตัวด้วยน้ำ มีค่าไม่เกิน 0.5 เดซิซีเมนต่อเมตร
  •  ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) 5.0-6.5
  • อินทรียวัตถุ 0.65-2.0 %
  •  เนื้อดินทราย  ดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย
  •  โปร่ง ร่วนซุย และระบายน้ำดี
  • ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ มากกว่า 7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  •  โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ มากกว่า 30  มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  •  แคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ มากกว่า 50  มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • แมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ มากกว่า 24  มิลลิกรัม/กิโลกรัม

การปรับปรุงดินก่อนการปลูกมันสำปะหลัง
  • ดินมีอินทรียวัตถุต่ำ ดินทราย ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 1 ตัน/ไร่ หว่านให้ทั่วพื้นที่แล้วไถกลบก่อนปลูก
  •  ดินดาน ควรไถระเบิดดินดานลึกประมาณ 50 เซนติเมตร ในขณะดินแห้ง
  •  ดินที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง น้อยกว่า 5.0 ควรปรับปรุงดินด้วยโดโลไมท์ อัตรา 100 กิโลกรัม/ไร่  โดยหว่านให้ทั่วแปลงก่อนไถเตรียมดิน

คำแนะนำการใช้ปุ๋ยสำหรับมันสำปะหลัง

ความต้องการธาตุอาหารของมันสำปะหลัง

การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน สำหรับมันสำปะหลัง




วิธีการใส่ปุ๋ย
- ดินร่วน ถึง ร่วนเหนียว ใส่ปุ๋ยเมื่อมันสำปะหลังอายุ 1-2 เดือน
- ดินทราย ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง
ครั้งที่ 1 ใส่เมื่อมันสำปะหลังอายุ 1 เดือน ให้มีธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ครบทั้ง 3 ธาตุ เช่น ปุ๋ย 16-16-8
ครั้งที่ 2 เมื่อมันสำปะหลังอายุ 2 เดือน  และดินมีความชื้นเหมาะสม ใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) และปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) โดยโรยเป็นแถวสองข้างต้นแล้วพรวนกลบ

แหล่งข้อมูล
กลุ่มวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร ปี 2561

ติดต่อสอบถาม
โทร. 0-2561-4681 โทรสาร 0-2940-5942
กลุ่มวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร

12 กรกฎาคม 2561

การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์


การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน คืออะไร ?
การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน เป็นการใช้ปุ๋ยให้ตรงตามระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และตรงตามความต้องการของพืช ทำให้พืชเจริญเติบโตดี และการให้ผลตอบแทนคุ้มค่าแก่การลงทุน

สมบัติของดินที่เหมาะสมในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
  • ดินลึก มากกว่า 75 เซนติเมตร
  •  ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) 5.5-7.5
  •  อินทรียวัตถุ มากกว่า 1.0%
  • เนื้อดินร่วน  ร่วนปนทราย ร่วนเหนียว ดินเหนียว
  •  โปร่ง ร่วนซุย และระบายน้ำดี
  • ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ มากกว่า 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ มากกว่า 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  •  แคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ มากกว่า 300 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  •  แมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ มากกว่า 33 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

การปรับปรุงดินก่อนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
  •  ดินมีอินทรียวัตถุต่ำ ดินร่วนปนทราย ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 700 กิโลกรัม/ไร่ หว่านให้ทั่วพื้นที่แล้วไถกลบก่อนปลูก
  •  ดินที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง น้อยกว่า 5.5 ควรปรับปรุงดินด้วยโดโลไมท์ อัตรา 100 กิโลกรัม/ไร่  โดยหว่านให้ทั่วแปลงก่อนไถเตรียมดิน
  •  ดินที่มีความเป็นกรด-ด่าง มากกว่า 7.5  ควรเลือกใช้ปุ๋ย 21-0-0 เป็นแหล่งของไนโตรเจน
คำแนะนำการใช้ปุ๋ยสำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ความต้องการธาตุอาหารของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

วิธีการใส่ปุ๋ย
การใส่ปุ๋ยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง
ครั้งที่ 1 ใส่ปุ๋ยรองพื้นพร้อมปลูก ให้มีธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ครบทั้ง 3 ธาตุ 
เช่น ปุ๋ย 16-16-8
ครั้งที่ 2 เมื่อข้าวโพดอายุ 3-4 สัปดาห์หลังปลูก และดินมีความชื้นเหมาะสม ใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) และปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) ข้างแถวปลูกแล้วพรวนกลบ

แหล่งข้อมูล
กลุ่มวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ปี 2561

ติดต่อสอบถาม
โทร. 0-2561-4681 โทรสาร 0-2940-5942
กลุ่มวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร

21 มิถุนายน 2561

ตากฟ้า 6 ฝ้ายพันธุ์ใหม่ เส้นใยสีน้ำตาล



ฝ้ายพันธุ์ใหม่ล่าสุด  " ตากฟ้า 6 "  เกิดจากการผสมข้ามระหว่างพันธุ์ตากฟ้า 2 กับพันธุ์ Brown cotton  เป็นผลงานวิจัยของศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร

ลักษณะเด่น 
มีเส้นใยเป็นสีน้ำตาล โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการฟอกย้อม จึงปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  ยกระดับมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค


ฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 6 ให้ผลผลิต 298 กิโลกรัมต่อไร่ ต้านทานต่อโรคใบหงิกในระดับปานกลาง มีเส้นใยยาวปานกลาง 1.09 นิ้ว เปอร์เซ็นต์หีบ 23.4%  ความเหนียวเส้นใย 19.0 กรัมต่อเท็กซ์ ความละเอียดอ่อนเส้นใย 2.7  ความสม่ำเสมอเส้นใย 58%



ฝ้ายตากฟ้า 6

เส้นใยสีน้ำตาล



ตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากฝ้ายเส้นใยสีน้ำตาล พันธุ์ตากฟ้า 6

ด้วยเส้นใยที่มีสีน้ำตาลคล้ายสีกลัก สามารถทำอังสะและสบงถวายพระ และทอเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้สวยงาม มีเอกลักษณ์




พันธุ์ตากฟ้า 6 เส้นใยสีน้ำตาลเข้ม เทียบกับพันธุ์ตากฟ้า 86-5 ที่มีเส้นใยสีเขียว  และพันธุ์ตากฟ้า 3 เส้นใยสีน้ำตาล





เส้นใยของฝ้ายพันธุ์ต่าง เมื่อนำมาทอ
ผืนบนตากฟ้า 86-5 ผืนกลางตากฟ้า 3 และผืนล่างตากฟ้า 6

6 มีนาคม 2561

การจัดการวันปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อลดผลกระทบจากภัยแล้ง

ปัจจุบันสภาพภูมิอากาศมีความแปรปรวน บางปีฝนมักจะมาล่าช้ากว่าปกติ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กว่า 98% ปลูกโดยอาศัยน้ำฝน เมื่อกระทบแล้งย่อมมีผลต่อการให้ผลผลิตซึ่งความเสียหายขึ้นกับระยะการเจริญเติบโตของข้าวโพดในช่วงที่ขาดน้ำ

เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดที่ปลูกต้นฤดูฝน  มักได้รับความเสียหายจากภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนาน   โดยเฉพาะหากฝนทิ้งช่วงขณะข้าวโพดอยู่ในระยะออกดอกและสะสมน้ำหนักเมล็ด (เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) จะเกิดความเสียหายมาก


ข้าวโพดที่ปลูกต้นฤดูฝน ปี 2557 (ปลูกต้นเดือนพฤษภาคม) ณ บ้านซับตะเคียน ต.สุขสำราญ อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ได้รับความเสียหายจากภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนาน ช่วงข้าวโพดอยู่ในระยะออกดอกและสะสมน้ำหนักเมล็ด

ปี 2562 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลายพื้นที่ ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง

ผลของการขาดน้ำในแต่ละระยะการเจริญเติบโต
Arnon (1974)  พบว่า
  • หากข้าวโพดขาดน้ำในช่วงระยะเจริญเติบโตทางลำต้นและใบก่อนที่จะออกดอกตัวผู้  ผลผลิตจะลดลง 25 %
  • หากข้าวโพดขาดน้ำในช่วงตั้งแต่ออกดอกตัวผู้  จนกระทั่งเริ่มสร้างเมล็ด  ผลผลิตจะลดลง 50 %
  • หากข้าวโพดขาดน้ำในช่วงหลังจากระยะสร้างเมล็ดสมบูรณ์ ผลผลิตจะลดลง 21 %
Grudloyma et al. (2005) รายงานว่า
  • หากข้าวโพดขาดน้ำในช่วงออกดอก  เป็นระยะเวลานาน 2 สัปดาห์ ผลผลิตจะลดลง 53 %

“ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในช่วงวันปลูกที่เหมาะสม สามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ”

วิเคราะห์ช่วงวันปลูกที่เหมาะสมเพื่อวางแผนการผลิตได้อย่างไร ?
 ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์และการคำนวณ
  • ค่าสัมประสิทธิ์พืช (Kc) ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (1)
  • ข้อมูลสภาพภูมิอากาศในแหล่งปลูก (2)
  • คำนวณปริมาณการใช้น้ำของพืชโดยอาศัยข้อมูลภูมิอากาศ (3)
ปริมาณการใช้น้ำของข้าวโพดในแต่ระยะการเจริญเติบโต

กรณีศึกษา : การวิเคราะห์ช่วงวันปลูกที่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ จากข้อมูลน้ำฝนและปริมาณความต้องการน้ำของข้าวโพดในแต่ละระยะการเจริญเติบโต






คำแนะนำช่วงวันปลูกที่เหมาะสมในพื้นที่ จ.นครสวรรค์
ปลูกปลายฤดูฝน (ปลายเดือนกรกฎาคม-กลางเดือนสิงหาคม)
ข้าวโพดได้รับน้ำฝนเพียงพอแก่ความต้องการตลอดฤดูปลูก แต่ให้ระวังน้ำท่วมขัง ควรทำร่องระบายน้ำ และระวังต้น  หักล้ม  เนื่องจากพายุลมแรง ควรเลือกใช้พันธุ์ที่มีลำต้นแข็งแรง

ปลูกต้นฤดูฝน
มีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายจากภาวะฝนทิ้งช่วงในช่วงเดือนกรกฎาคมและปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอตลอดฤดูปลูก ส่งผลกระทบต่อการให้ผลผลิตอย่างรุนแรง  กรณีที่ี่ฝนทิ้งช่วงยาวนานอาจต้องไถทิ้งและปลูกใหม่


(1) ส่วนการใช้น้ำชลประทาน สำนักอุทุกวิทยาและบริหารน้ำ กรมชลประทาน (2554)
(2) สถานีอุตุนิยมวิทยานครสวรรค์ (ตากฟ้า)
(3) Blaney-Criddle (FAO, 1992)

เอกสารอ้างอิง
Arnon, L.  1974.  Mineral Nutrition on Maize.  International Potash Institute. Werder AG, Switzerland, 452 P.
Grudloyma, P., N. Kumlar, and S. Prasitwatanaseri.  2005. Performance of Promising Tropical
Late Yellow Maize Hybrids under Drought and Low Nitrogen Conditions. Pages 112116. In : Maize Adaptation to Marginal Environments. March 6-9, 2005, Pak Chong, Nakhon Ratchasima, Thailand

แหล่งข้อมูล : ดร.ศุภกาญจน์ ล้วนมณี (2559) ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์  สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร

เทคโนโลยีการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  เป็นพืชไร่ที่มีศักยภาพที่จะปลูกในพื้นที่นาหลังเก็บเกี่ยวข้าวนาปี  เนื่องจากมีอายุสั้น  ประมาณ 100-110 วัน  ใช้น้ำน้อยกว่าการทำนา ช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูในนาข้าว

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาให้ได้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ

การเลือกพื้นที่ปลูก
ควรเลือกพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเพียงพอตลอดฤดูกาลปลูก หลีกเลี่ยงพื้นที่ ราบลุ่มต่ำและระบายน้ำยาก

วันปลูก
ควรกำหนดวันปลูกข้าวโดยการกำหนดวันปลูกข้าวโพดไว้ล่วงหน้า เช่น หากต้องการปลูกข้าวโพดในเดือนตุลาคม    จะต้องปลูกข้าวในเดือนมิถุนายน  หรือ  ถ้าปลูกล่าช้า  เกษตรกรจะต้องเก็บเกี่ยวข้าวให้เสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน  หากเก็บเกี่ยวในเดือนธันวาคม  จะทำให้ปลูกข้าวโพดล่าช้าถึงเดือนมกราคม  ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าวโพด

วันปลูกที่เหมาะสมของข้าวโพดในฤดูแล้ง คือ เดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ซึ่งหากปลูกได้เร็วจะทำให้ต้นข้าวโพดมีการเจริญเติบโตดี  และระยะออกดอกไม่ตรงกับช่วงที่อุณหภูมิสูง การปลูกข้าวโพดในช่วงนี้ ในปีที่มีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ จะทำให้ข้าวโพดงอกช้ากว่าปกติ  หรือแสดงอาการใบสีม่วงคล้ายขาดปุ๋ยฟอสฟอรัสในระยะต้นกล้า

อุณหภูมิต่ำระยะกล้า ทำให้ข้าวโพดมีอาการใบม่วง 


การเลือกเมล็ดพันธุ์
เลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดี มีความงอกมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และมีความแข็งแรงสูง  เนื่องจากการปลูกข้าวโพดฤดูแล้ง   อาศัยความชื้นในดินที่หลงเหลืออยู่หลังเก็บเกี่ยวข้าวซึ่งมีค่อนข้างจำกัด

ลักษณะดิน
ดินนาที่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  ได้แก่  ดินร่วน ดินร่วนเหนียว หรือดินร่วนทราย  เนื่องจากมีการระบายน้ำดี และมีความอุดมสมบูรณ์พอสมควร

ควรหลีกเลี่ยง การปลูกข้าวโพดในดินนาที่เป็นดินเหนียวจัด เนื่องจากระบายน้ำไม่ดี และหลีกเลี่ยงดินกรดถึงกรดจัด (pH ต่ำกว่า 5.0)

วิธีการเตรียมดิน
- ไถดะ  โดยใช้รถไถผาล 7 หรือ รถไถเดินตาม  หลังเก็บเกี่ยวข้าวพร้อมคราดเพื่อย่อยดินและเก็บความชื้น  ทิ้งแปลงตากแดดไว้ 5-7  วัน เพื่อกำจัดวัชพืช  จากนั้นไถแปรพร้อมกับคราด 2-3 ครั้ง  เพื่อเก็บความชื้นและย่อยดินให้ร่วนซุย

- พื้นที่นาที่พื้นดินไม่สม่ำเสมอ  ต้องปรับพื้นที่ให้ราบเรียบสม่ำเสมอ ไม่มีแอ่ง หรือส่วนที่เป็นโคกและที่ดอน  เพื่อสะดวกในการให้น้ำและระบายน้ำออกจากแปลง



- ควรทำร่องส่งน้ำเข้าแปลงและร่องระบายน้ำออกจากแปลงรอบๆ แปลงนา แปลงนาที่มีขนาดใหญ่หรือมีพื้นที่ตั้งแต่ 3-5 ไร่ขึ้นไป ควรทำร่องส่งน้ำและระบายน้ำกลางแปลงเพิ่มเติมทุกๆ  20-40 แถว  โดยทิศทางของร่องให้ขนานกับแถวปลูกเพื่อส่งน้ำเข้าแปลงได้อย่างทั่วถึง

 

วิธีการปลูก
- การปลูกแบบเป็นแถว โดยใช้รถไถเดินตามขนาดเล็ก พร้อมกับการใส่ปุ๋ยรองพื้น ระยะปลูกที่เหมาะสม คือ ระยะระหว่างแถว 70-75 เซนติเมตร ระยะระหว่างหลุม 20 เซนติเมตร จำนวน 1 ต้นต่อหลุม

- อัตราเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม คือ 2.5-3.0 กิโลกรัมต่อไร่ หากจำเป็นต้องมีการปลูกซ่อม ควรปลูกซ่อมในช่วง 7-10 วันหลังปลูก

การใส่ปุ๋ย
1. การใส่ปุ๋ยเคมีรองพื้น  ควรใช้ตามค่าวิเคราะห์ดิน  สูตร 15-15-15  16-16-8  16-8-8 หรือ 20-10-5 เป็นต้น  การปลูกโดยใช้เครื่องปลูก ใส่ปุ๋ยพร้อมปลูก

   2. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 1 และพูนโคน   เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 3 สัปดาห์หลังปลูก โดยใช้ปุ๋ยเคมีสูตร  46-0-0  อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างแถวปลูก  แล้วพูนโคนกลบ

   3. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 2 เมื่อข้าวโพดเริ่มออกช่อดอกตัวผู้และออกไหม โดยใช้ปุ๋ยเคมี สูตร 46-0-0  อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างร่องน้ำ หลังจากให้น้ำแล้ว




การให้น้ำ
การปลูกข้าวโพดโดยอาศัยความชื้นในดินที่หลงเหลืออยู่หลังเก็บเกี่ยวข้าว  ควรมีการตรวจสอบความชื้นของดินหลังเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว 
  • หากความชื้นของดินไม่เพียงพอสำหรับการงอกและการเจริญเติบโตในระยะแรก (1-2 สัปดาห์) ควรมีการให้น้ำก่อนปลูก โดยไถดะพร้อมกับปล่อยน้ำเข้าแปลงนา ทิ้งไว้จนความชื้นพอเหมาะสำหรับการไถพรวน
  • แต่ถ้าดินมีความชื้นเพียงพอ ให้ไถดะพร้อมคราดเพื่อเก็บรักษาความชื้น
ควรให้น้ำครั้งแรกหลังจากการพรวนดินพูนโคน เมื่อข้าวโพดอายุได้ประมาณ 3 สัปดาห์ หรือหลังจากนั้น   อาจจะสังเกตอาการเหี่ยวชั่วคราวของใบข้าวโพดที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายในการให้น้ำครั้งแรกและครั้งต่อไป หลังจากนั้นให้น้ำอีกประมาณ 2-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของดินและสภาพภูมิอากาศ


ข้อควรระวังในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา
1. หลีกเลี่ยงพื้นที่ราบลุ่มต่ำ และน้ำท่วมขัง
2. ไถเตรียมดินเมื่อความชื้นพอเหมาะโดยเฉพาะดินเหนียว   หากไถในสภาพที่ดินมีความชื้นสูง  จะทำให้ดินเป็นก้อนโต   หากไถดินในสภาพที่ดินแห้งเกินไป จะทำให้ไถเตรียมดินยาก และไถได้ไม่ลึก
3. หลีกเลี่ยงดินเหนียวถึงเหนียวจัด ระบายน้ำไม่ดี  และหลีกเลี่ยงดินกรดถึงกรดจัด 
4. ไม่ควรปลูกหลังเดือนธันวาคม จะทำให้ผลผลิตต่ำ
 5. อย่าให้ขาดน้ำในระยะออกดอก ซึ่งเป็นระยะวิกฤตของพืช จะทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก หรือให้น้ำมากเกินไปในระยะแรกจะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมขัง
 6. เมล็ดพันธุ์ต้องมีความงอกมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์

ที่มา:
ดร.สมชาย บุญประดับ เทคโนโลยีการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้มีคุณภาพ เอกสารประกอบการฝึกอบรม หลักสูตรระบบการปลูกพืชที่มีข้าวเป็นหลัก 15 กุมภาพันธุ์ -10 มีนาคม 2555 ณ โรงแรมบ้านสวนรีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จัดทำโดย สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร

15 พฤศจิกายน 2560

การจัดการดิน ปุ๋ยและเศษซากพืช ในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

การจัดการดิน ปุ๋ย และเศษซากพืชอย่างเหมาะสม สามารถลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินอย่างยั่งยืน

สมบัติของดินที่เหมาะสม
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สามารถปลูกในดินร่วน ร่วนปนทราย ร่วนเหนียว ดินเหนียว ที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง- สูง มีการระบายน้ำดี ค่าความเป็นกรด-ด่าง 5.5-7.5

ความต้องการธาตุอาหารของข้าวโพด
        ปริมาณธาตุอาหารที่ข้าวโพดดูดใช้ เพื่อสร้างผลผลิต 1 ตันต่อไร่
     -ไนโตรเจน 18 กก. N/ไร่
     - ฟอสฟอรัส       3.5 กก. P/ไร่
                            8 กก. P2O5 /ไร่
     - โพแทสเซียม   9 กก. K/ไร่
                           11 กก. K2O/ไร่

ปริมาณธาตุอาหารในเศษซาก ต้น ใบข้าวโพดที่ให้ผลผลิต 1 ตัน/ไร่
คาร์บอน        600 กก. C/ไร่
ไนโตรเจน         5 กก. N/ไร่
ฟอสฟอรัส 0.6 กก. P/ไร่ ( 1.4  กก. P2O5/ไร่ )
โพแทสเซียม    4 กก. K/ไร่ ( 4.8  กก. K2O/ไร่ )
          คิดเป็นต้นทุนธาตุอาหารจากปุ๋ยเคมี  330 บาท/ไร่

การจัดการดิน 
  • คลุกเมล็ดด้วยปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์  1  ถุง  (500 กรัม)  ต่อเมล็ด  3-5  กก. 
  • ใส่ปุ๋ยรองพื้นพร้อมปลูก  ด้วยปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบทั้ง  N  P  K  เพื่อให้พืชตั้งตัวได้ดี
  • ใส่ปุ๋ยครั้งที่  2  ให้ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเมื่อข้าวโพดอายุ  20-30  วัน  เพื่อเตรียมต้นให้สมบูรณ์พร้อมสำหรับการออกดอก
  • หลังเก็บเกี่ยว ควรไถกลบเศษซากข้าวโพด เพื่อให้ธาตุอาหารกลับคืนสู่ดิน ช่วยรักษาดินไม่ให้เสื่อมโทรม

              
         ++ระยะเริ่มงอก  พืชใช้ธาตุอาหารปริมาณน้อย ระยะออกดอกและติดฝัก  พืชเจริญเติบโตสูงสุด การดูดใช้ธาตุอาหารเริ่มลดน้อยลง++


< การใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ สามารถลดการใช้ปุ๋ย  N  P  K  ได้  25% 
< การใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์  เพิ่มผลผลิตได้  10%  และลดต้นทุนได้  20%
< การไถกลบเศษซากข้าวโพดกลับลงไปในดิน  ช่วยรักษาคุณภาพดิน ทำให้การผลิตข้าวโพดมีความยั่งยืน


ข้อมูล : กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร

เนื้อหา