20 กรกฎาคม 2560

ผลของอายุเก็บเกี่ยวที่มีต่อผลผลิตและปริมาณแป้งมันสำปะหลัง

โดย วีรวัฒน์ นิลรัตนคุณ และโอภาษ บุญเส็ง

การศึกษาผลของอายุเก็บเกี่ยวที่มีต่อผลผลิตและปริมาณแป้งในหัวสดของมันสำปะหลังที่ปลูกในดินเหนียวสีดำ ชุดลพบุรี

วางแผนการทดลองแบบ Split plot มี 3 ซ้ำ ปัจจัยหลักประกอบด้วยพันธุ์มันสำปะหลัง 4 พันธุ์ คือ ระยอง 5 ระยอง 7 เกษตรศาสตร์ 50 และห้วยบง 60 ปัจจัยรองประกอบ 6 อายุเก็บเกี่ยว ที่อายุ 8, 10, 12, 14, 16 และ 18 เดือน ทำการทดลองที่ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ในปี พ.ศ. 2547-2549 โดยปลูกมันสำปะหลังในช่วงต้นและปลายฤดูฝนปี พ.ศ. 2547 และต้นฤดูฝนปี พ.ศ. 2548 ระยะปลูก 1.0x1.0 ม.

ผลการทดลอง พบว่า ผลผลิตของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นตามอายุการเก็บเกี่ยว และการปลูกต้นฤดูฝนให้ผลผลิตสูงกว่าปลายฤดูฝน  การเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังที่อายุเก็บเกี่ยว 18 เดือน ทั้งในช่วงต้นและปลายฤดูฝน ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงกว่าการเก็บเกี่ยวที่อายุ 10 เดือน ถึง 123 และ 105 % ตามลำดับ  โดยพันธุ์   ห้วยบง 60 ให้ผลผลิตสูงที่สุดเมื่อปลูกต้นฤดูฝน พันธุ์ระยอง 7 ให้ผลผลิตสูงที่สุดเมื่อปลูกปลายฤดูฝน

ในส่วนของปริมาณแป้งในหัวสด พบว่า ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขณะที่ทำการเก็บเกี่ยว และระยะการเจริญเติบโต โดยมีปริมาณแป้งเฉลี่ยสูงที่สุดในช่วงเดือนมกราคม ปริมาณแป้งเริ่มลดในเดือนมีนาคม และมีปริมาณต่ำสุดในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นปริมาณแป้งจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น แม้ในช่วงเดือนกันยายนที่มีฝนตกหนัก ยังมีปริมาณแป้งสูงถึง 25 % และปริมาณจะขึ้นสูงสุดที่เดือนมกราคมอีกครั้ง

ฝนตกชุก โรคกาบและใบไหม้ในข้าวโพด ระบาดรุนแรง

การระบาดขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม  ในสภาพที่มีฝนตกชุกติดต่อกัน ส่งผลให้ความชื้นสูง มักพบการระบาดของโรคกาบและใบไหม้ (banded leaf and sheath blight) ในข้าวโพด ค่อนข้างรุนแรง

สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Rhizoctonia solani Kuhn.

ลักษณะอาการ
กาบหุ้มที่โคนต้นมีรอยฉ่ำน้ำสีเขียวอมเทา เน่ากลายเป็นสีน้ำตาล ลุกลามไปยังกาบของลำต้นที่อยู่สูงขึ้นไป และขยายไปสู่โคนใบ ทำให้ใบไหม้ขยายไปตามทางยาวของใบ เมื่อแสงแดดจัด ความชื้นน้อยเชื้อราก็จะหยุดการเจริญ จึงเห็นเป็นแผลแห้งเหมือนแดดเผา มีขอบสีน้ำตาลขวางตามใบเป็นชั้น ๆ เมื่อถึงเวลากลางคืนอากาศเย็นความชื้นสูง แผลก็ขยายไหม้ลามต่อไปตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อรา จึงเห็นใบข้าวโพดที่เป็นโรคนี้เป็นลายคราบตามขวางของใบเป็นชั้นคล้ายคราบงู จะพบเส้นใยของเชื้อราบนส่วนที่เป็นโรค

การแพร่ระบาด
สาเหตุของการเกิดโรคและแพร่ระบาดคือเม็ดสเคลอโรเทีย (sclerotia) ของเชื้อซึ่งอยู่ในดินและซากหญ้า พืชอาศัยที่ขึ้นอยู่บริเวณใกล้เคียงข้าวโพด การระบาดของโรคไปยังต้นอื่นๆ โดยการสัมผัสของใบที่เป็นโรคกับส่วนต่าง ๆ ของต้นปกติ
อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อสาเหตุประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ พบการเกิดโรคน้อย

การป้องกันกำจัด
1. ใช้เมล็ดพันธุ์จากต้นที่สมบูรณ์และปราศจากโรค
2. หมั่นตรวจไร่อยู่เสมอในระยะต้นข้าวโพดอายุได้ 40-50 วัน เมื่อพบโรคระบาดให้ถอนและเผาทำลาย ในระยะออกฝัก หากพบฝักเป็นโรคมีเม็ดเชื้อราสาเหตุลักษณะคล้ายเม็ดผักกาด เมื่อเก็บไปทำลายพยายามอย่าให้เม็ดเชื้อราร่วงหล่นในแปลงเพราะจะแพร่โรคต่อไป
3. ทำลายเศษเหลือของต้นข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยว ก่อนปลูกฤดูต่อไปให้ไถพลิกดินขึ้นมาตากแดดหลาย ๆ ครั้ง เติมอินทรีย์วัตถุในแปลงปลูก เตรียมดินให้มีการระบายน้ำดี
4. หลีกเลี่ยงการปลูกพืชหนาแน่น  วางแนวของแถวปลูกทิศทางเดียวกับลม เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
5. ลดการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปริมาณสูง
ุ6. ปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่ใช่พืชอาศัย พืชอาศัยของโรคนี้ได้แก่ ข้าว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วต่าง ๆ และอ้อย
7. เพิ่มอินทรีย์วัตถุในแปลงปลูกและเพิ่มเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ เช่น Trichoderma harzianum จุลินทรีย์เหล่านี้สามารถเจริญแข่งขันและย่อยสลายเส้นใยของเชื้อราสาเหตุโรคนี้ได้


เชื้อสาเหตุ : Rhizoctonia solani






การระบาดของโรคสู่ต้นข้างเคียง โดยใบจากต้นเป็นโรคสัมผัสกับใบของต้นปกติ





ในสภาพที่ความชื้นสูง จะพบเส้นใยของเชื้อสาเหตุบนส่วนของพืชที่เป็นโรค แล้วพัฒนาเป็น sclerotia ซึ่งเป็นส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อ

ลักษณะ sclerotia ของเชื้อสาเหตุ

- - - - -
ข้อมูล:เอกสารวิชาการโรคข้าวโพด กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร

30 พฤษภาคม 2560

อาการผิดปกติของมันสำปะหลังที่เกิดจากสารกำจัดวัชพืช

มันสำปะหลังที่ปลูกในพื้นที่ใกล้เคียงกับพืชไร่ชนิดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไร่อ้อย  มักประสบปัญหาการปลิวของละอองสารกำจัดวัชพืชจากการใช้ในแปลงข้างเคียงมาสู่แปลงมันสำปะหลัง ทำให้มันสำปะหลังมีอาการผิดปกติ

ในที่นี้ได้รวบรวมลักษณะอาการผิดปกติของมันสำปะหลังที่เกิดจากการได้รับสารกำจัดวัชพืชชนิดที่เป็นปัญหา เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยแก่นักวิชาการ หรือผู้เกี่ยวข้องต่อไป

พาราควอท
ส่วนใหญ่การกำจัดวัชพืชโดยใช้พาราควอทไม่ค่อยเป็นปัญหาต่อมันสำปะหลังนัก หากพ่นอย่างระมัดระวัง แต่ก็พบเกิดขึ้นบ้างในเกษตรกรบางราย อาการที่พบเมื่อมันสำปะหลังได้รับสาร ใบจะเกิดจุดตายสีขาว บางครั้งจุดตายลามติดกันหากได้รับสารมาก (ภาพที่ 1 และ 2)
ภาพที่ 1

ภาพที่ 2


ไกลโฟเสท
หากมันสำปะหลังได้รับสารขณะต้นยังเล็ก จะทำให้แคระแกร็น หยักใบแคบลง เรียวเป็นเส้น (ภาพที่ 3 และ 4)

ภาพที่ 3


ภาพที่ 4


ไดยูรอน
เกษตรกรส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าไดยูรอนไม่เป็นพิษต่อมันสำปะหลัง เนื่องจากในฉลากแนะนำให้ใช้กำจัดวัชพืชในไร่มันสำปะหลัง แต่หากใช้ไม่ถูกช่วงเวลา เช่น พ่นในแปลงมันสำปะหลัง หลังจากที่มันสำปะหลังแตกใบแล้ว หรือ ใช้ในปริมาณที่มากเกินคำแนะนำ จะมีผลต่อมันสำปะหลังได้ นอกจากนี้มันสำปะหลังที่ปลูกใกล้กับไร่อ้อยที่มีการพ่นไดยูรอนเพื่อกำจัดวัชพืช  ก็มีความเสี่ยงที่มันสำปะหลังจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก (ภาพที่ 5,6,7 และ 8)

ภาพที่ 5

การพ่นไดยูรอนเพื่อควบคุมวัชพืชก่อนงอก แต่พ่นหลังจากต้นมันสำปะหลังแตกใบแล้ว จะทำให้มันสำปะหลังใบเหลือง ใบไหม้

ภาพที่ 6

การพ่นไดยูรอนเพื่อควบคุมก่อนวัชพืชงอก หากใช้ปริมาณมากเกินไป ไดยูรอนที่ตกค้างในดินจะถูกรากมันสำปะหลังดูดขึ้นมา ทำให้มันสำปะหลังเกิดอาการใบไหม้ โดยบางใบจะเห็นเส้นใบเป็นสีขาว

ภาพที่ 7

ใบแก่จะเห็นเส้นใบเป็นสีขาวชัดเจน ในต้นที่รากดูดซึมไดยูรอนขึ้นมา

ภาพที่ 8

พื้นที่ของเกษตรกรบางรายมีปัญหาวัชพืชขึ้นหนาแน่น จึงคิดว่าการพ่นสารในปริมาณมาก จะทำให้ควบคุมวัชพืชได้นาน จึงใช้ไดยูรอนในปริมาณมาก เช่น 5 เท่า ของอัตราแนะนำ สารไดยูรอนจะตกค้างในดินนานเกือบ 6-7 เดือน รากจะดูดสารขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใบมันสำปะหลังไหม้ บางครั้งต้นแห้งตาย ส่วนใหญ่จะพบการตายเป็นหย่อมในบริเวณที่มีสารตกค้างมาก

อทราซีน
มันสำปะหลังที่ได้รับสารอทราซีน ใบจะเหลือง หากได้รับสารในปริมาณมาก ใบจะไหม้ (ภาพที่ 9 และ 10)

ภาพที่ 9


ภาพที่ 10


อมิทริน
อาการผิดปกติหลังจากได้รับสารอมิทริน ใบจะเหลืองซีด จนถึงใบไหม้สีน้ำตาลแดง (ภาพที่ 11,12 และ 13)

ภาพที่ 11


ภาพที่ 12


ภาพที่ 13


ทูโฟดี (2-4, D)
อาการที่เกิดกับมันสำปะหลังเมื่อได้รับสารทูโฟดี มีหลายแบบ ทั้งใบไหม้ และการเจริญที่ผิดปกติ ขึ้นกับปริมาณสารที่ได้รับ อาการจำเพาะของมันสำปะหลังที่ได้รับสารทูโฟดี ได้แก่ อาการใบบิดพลิก กิ่งบวม ลำต้นบวมแตก (ภาพที่ 14,15 และ 16)

ภาพที่ 14


ภาพที่ 15


ภาพที่ 16


นอกจากนี้  ยังพบอาการผิดปกติจากสาเหตุอื่น ที่คล้ายกับอาการที่เกิดจากสารอทราซีนและอมิทริน  ได้แก่ การขาดธาตุเหล็ก ซึ่งต้องพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนการวินิจฉัย

ขาดธาตุเหล็ก (Fe deficiency)
มันสำปะหลังบางพันธุ์ เช่น ระยอง 7 และ ระยอง 9 เมื่อปลูกในดินชุดตาคลีซึ่งเป็นดินด่าง โดยเฉพาะในดินชุดตาคลีที่มีเม็ดปูนปะปนอยู่บนหน้าดิน ทำให้มันสำปะหลังมีอาการเหลืองซีดที่ใบยอด ในดินที่ด่างมากใบจะเหลืองทั้งต้น ใบจะไหม้จากล่างขึ้นมา ถึงยอดและทำให้ต้นตายได้ ซึ่งลักษณะความผิดปกติที่เกิดจากดินด่าง จะมีอาการคล้ายกับการได้รับสารอทราซีน และอมิทรินมาก ดังนั้นในการวินิจฉัยสาเหตุความผิดปกติ ควรสอบถามข้อมูลจากเกษตรกรให้ละเอียด ทั้งเรื่องดิน พันธุ์ที่ปลูก การใช้สารกำจัดวัชพืชของเกษตรกรเอง ชนิดของพืชปลูกข้างเคียง หรือมีการปลิวของละอองสารจากแปลงข้างเคียงหรือไม่ (ขาดธาตุเหล็ก ภาพที่ 17,18 และ 19)

ภาพที่ 17


ภาพที่ 18


ภาพที่ 19






ประชุมวิชาการข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ครั้งที่ 38

รายละเอียดเพิ่มเติม
หลักการและเหตุผล http://www.doa.go.th/fcri/images/maize38new01.pdf
ข้อกำหนดการส่งผลงานวิจัย http://www.doa.go.th/fcri/images/maize38new03.pdf
แบบตอบรับการเข้าร่วมประชุม http://www.doa.go.th/fcri/images/maize38new04.pdf

หนู สัตว์ฟันแทะ ศัตรูที่สำคัญของข้าวโพด

ระบาดช่วงหน้าแล้งในพื้นที่ที่ไม่มีพืชอาหารชนิดอื่น
ทำลายข้าวโพดได้ตั้งแต่ระยะหลังปลูก จนถึงใกล้เก็บเกี่ยว

#หนูนาใหญ่ #หนูพุกเล็ก และ #หนูพุกใหญ่ จะกัดโคนต้นให้ล้มลงมาเพื่อกินเมล็ด
ส่วน #หนูท้องขาว #หนูหริ่งนาหางสั้น จะปีนต้นข้าวโพดเพื่อขึ้นไปแทะกินเมล็ดในฝัก

เมื่อพบร่องรอย รูหนู หรือ มีการทำลายเกิดขึ้น สามารถป้องกันกำจัดโดยใช้กรงดัก หรือกับดัก ร่วมกับการใช้เหยื่อพิษซิงค์ฟอสไฟด์ ผสมกับเมล็ดพืช (ปลายข้าว รำข้าว เมล็ดข้าวโพดป่น) อัตรา สาร 1 กก. ผสมกับเมล็ดพืช 100 กก. วางเหยื่อพิษจุดละ 1 ช้อนชา โดยให้ใช้แกลบใหม่ รองพื้น 1 กำมือ และกลบเหยื่อพิษ 1 กำมือ แต่ละจุด ห่างกัน 5-10 เมตร #ซิงค์ฟอสไฟด์เป็นเหยื่อพิษที่ออกฤทธิ์เร็ว หนูจะเข็ดขยาด #ไม่ควรใช้เกิน 1 ครั้ง ต่อฤดู
หลังจากนั้น ให้ใช้เหยื่อพิษสำเร็จรูปที่ออกฤทธิ์ช้า (โฟลคูมาเฟน โบรมาดิโอโลน หรือ ไดฟิทิอาโลน) วางจุดละ 5-10 ก้อน ห่างกัน 10-20 เมตร เพื่อกำจัดประชากรหนูที่เหลือจากสารออกฤทธิ์เร็ว





25 เมษายน 2560

การทำลายของหนอนด้วงดีดในข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

หนอนด้วงดีด หรือ wireworms
ชื่อวิทยาศาสตร์ Aeolus mellilus (Coleoptera : Elateridae) นอกจาก Aeolus mellilus  ยังพบด้วงดีดชนิดอื่นๆ ที่ทำลายข้าวโพด


ลักษณะการทำลาย
ระยะตัวหนอนเป็นระยะที่ทำลายพืช มักพบการทำลายในระยะกล้า หลังจากเมล็ดเริ่มงอก โดยกัดกินเนื้อในเมล็ดข้าวโพดที่ปลูกอยู่ในดิน  กัดกินส่วนราก  โคนต้น หรือ กัดกินส่วนเจริญบริเวณโคนต้น ทำให้ต้นข้าวโพดเหี่ยวและแห้งตายเป็นหย่อม ๆ  
การทำลายในระยะต้นโต หนอนกัดกินราก กัดกินส่วนโคนต้น และเจาะเข้าไปในลำต้นทำให้ต้นข้าวโพดหักล้ม 

ช่วงที่พบการระบาด
พบการระบาดบางจุดของพื้นที่ เป็นบางช่วงเท่านั้น ไม่ได้ทำความเสียหายในพื้นที่กว้าง 
ช่วงที่พบได้แก่ สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคม 2560 พฤศจิกายน 2562  สัปดาห์ที่ 3 มกราคม 2562  สัปดาห์ที่ 3 เดือนมีนาคม 2563 ในพื้นที่แปลงทดลองปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์  







ลักษณะของหนอนด้วงดีด
ตัวหนอนและตัวเต็มวัยของด้วงดีด มีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละชนิด หนอนด้วงดีด มีพืชอาหารหลายชนิด อาศัยอยู่ในส่วนดอก ใต้เปลือก และภายในต้นพืช ตัวหนอนมีรูปร่างเรียวยาว ลำตัวเป็นมันวาว ระยะตัวหนอนเป็นระยะที่ทำลายพืชได้รุนแรง โดยกัดกินรากและส่วนของพืชที่อยู่ใต้ดิน ตัวหนอนเข้าดักแด้ในเนื้อเยื่อพืชที่อยู่ใต้ดิน ใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปีเพื่อพัฒนาเป็นตัวเต็มวัย  ตัวเต็มวัยเมื่อหงายตัวจะพับตัวดีดเพื่อให้ตัวคว่ำลง ทำให้เกิดเสียง จึงเรียกว่าด้วงดีด (Click beetle)

ลำตัวด้านบนของหนอนด้วงดีด


ลำตัวด้านข้างของหนอนด้วงดีด



ส่วนขาของหนอนด้วงดีด


ปลายส่วนท้องของหนอนด้วงดีด

 





ตัวเต็มวัยที่พบอยู่ในดิน บริเวณพื้นที่ปลูก



บริเวณที่พบการระบาด มักจะไม่สามารถกำจัดให้หมดไป หากมีความรุนแรง การลดความเสียหาย ทำได้โดยคลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารเคมี หรือ เพิ่มอัตราเมล็ดพันธุ์ต่อไร่


ข้อมูลและภาพหนอนด้วงดีด : 

กลุ่มงานอนุกรมวิธานแมลง กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยและพัฒนาการอารักขาพืช และ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์

Insect Pests of Maize, A guide for field identification, CIMMYT. 1987.

เนื้อหา