8 สิงหาคม 2560

โรคเหี่ยวเน่าแดงอ้อย


ระบาดรุนแรง ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ในเขตชลประทานหรือพื้นที่นา ทำให้ผลผลิตเสียหาย 30-100 เปอร์เซ็นต์  CCS ลดลง

โรคเหี่ยวเน่าแดงเกิดจากการทำลายของเชื้อรา 2 ชนิด คือ Fusarium moniliforme  และ  Colletotrichum falcatum

 เชื้อ Fusarium moniliforme อยู่ในดิน สามารถเข้าทำลายอ้อยได้ทางรากและโคนต้น ส่วนเชื้อ Colletotrichum falcatum สามารถเข้าทำลายอ้อยได้ตามรอยแผลที่เกิดจากหนอนหรือแผลแตกของลำ หรือทางรอยเปิดธรรมชาติ


หากเกษตรกรปลูกโดยใช้ท่อนพันธุ์อ้อยที่ติดโรคเหี่ยวเน่าแดง จะทำให้การระบาดกระจายในวงกว้างและยากต่อการป้องกันกำจัด

ลักษณะอาการ
อ้อยจะเหี่ยวตายฉับพลันยืนต้นแห้งตายไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้
1. ระยะแรกอายุ 4-5 เดือน อ้อยใบเหลือง ขอบใบแห้ง
2. อ้อยจะยืนต้นแห้งตายเป็นกอ ๆ จนถึงระยะเก็บเกี่ยว
3. เมื่อผ่าในลำจะเห็นเนื้ออ้อยเน่าช้ำเป็นสีแดงเป็นจ้ำ หรือเนื้ออ้อยเน่าเป็นสีน้ำตาลปนม่วง

การป้องกันกำจัด
เมื่อพบการระบาด ก่อนการเก็บเกี่ยว
    1)  เร่งระบายน้ำแปลงที่มีน้ำขัง
    2)  งดการเร่งปุ๋ยและน้ำ
    3)  รีบตัดอ้อยเข้าหีบ

การจัดการแก้ไขหลังเก็บเกี่ยว
   1)  รื้อแปลงทิ้ง
   2)  ทำลายซากตอเก่า โดยการคราดออกและเผาทิ้ง
   3)  ไถดินตาก ประมาณ 3 ครั้ง
   4)  ปลูกพืชสลับ เช่น ข้าวหรือกล้วยก่อนปลูกอ้อยฤดูใหม่
   5)  ปลูกพันธุ์ที่ต้านทาน เช่น ขอนแก่น 3 หรือ แอลเค 92-11
   6)  คัดเลือกพันธุ์ที่สมบูรณ์ จากแหล่งที่ไม่เป็นโรค หรือเตรียมแปลงพันธุ์ด้วยตนเอง
   7)  ถ้าไม่แน่ใจว่าพันธุ์ต้านทานหรือไม่ ก่อนปลูกควรแช่ท่อนพันธุ์ในสารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดโรค อัตราต่อไปนี้
                 - เบนโนมิล (เบนเลท 25 % WP) อัตรา 25 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร
                 - ไธโอฟาเนท-เมททิล (ทอปซินเอ็ม 50 %) 20 ซีซ๊  ต่อน้ำ 20 ลิตร
                 - โปรพิโคนาโซล (ทิลท์ 250 อีซี.) 16 ซีซ๊ ต่อน้ำ 20 ลิตร


 ภาพที่ 1, 2 และ3 ในสภาพที่มีการปลูกเชื้อ อ้อยพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคเหี่ยวเน่าแดง จะแสดงอาการเน่าแดง ในปล้องที่มีการปลูกเชื้อ หรือลุกลาม 1-2 ปล้องเท่านั้น





ภาพที่ 4 อ้อยพันธุ์อ่อนแอ  ในสภาพที่มีการปลูกเชื้อ จะมีการลุกลามของโรคไปยังปล้องอื่นๆ หลายปล้อง หรือเน่าแดงทั้งต้น 


ภาพที่ 5 ท่อนพันธุ์อ้อยที่มีลักษณะไส้แดง  จากแปลงที่มีโรคระบาด ไม่ควรใช้ทำพันธุ์


ข้อมูล: เอกสารวิชาการ การป้องกันกำจัดศัตรูอ้อย สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร

4 สิงหาคม 2560

การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 3


การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมทนทานแล้งพันธุ์นครสวรรค์ 3 ดำเนินการวิจัยโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย หนังสือ เอกสาร ผลงานวิจัย และข้อมูลปฐมภูมิ รวมทั้งการสัมภาษณ์เกษตรกรและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย วิเคราะห์ข้อมูลในเชิงพรรณา การเขียนผังลูกโซ่งานวิจัย (Impact pathway) และการประเมินผลประโยชน์ที่เกิดจากงานวิจัย วิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ อาศัยแนวคิดหลักการส่วนเกินทางเศรษฐกิจสำหรับวิเคราะห์ผลประโยชน์จากงานวิจัย และตัวชี้วัดความคุ้มค่าของการลงทุนวิจัย

งานวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทนทานแล้งพันธุ์นครสวรรค์ 3 ใช้งบประมาณสำหรับการลงทุนวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมทั้งสิ้น 26.19 ล้านบาท ดำเนินการระหว่างปี 2547-2559 รวมระยะเวลา 12 ปี

ผลงานวิจัยนี้ก่อให้เกิดผลประโยชน์คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ณ เวลาปัจจุบัน (ปี พ.ศ.2559) มีมูลค่าสูงถึง 197 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าโครงการวิจัยนี้มีความคุ้มค่าในการลงทุน ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นครอบคลุมงบประมาณจากการลงทุนวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี ผลตอบแทนต่อต้นทุน (BCR) เท่ากับ 6.29 ซึ่งหมายถึงเงินที่กรมวิชาการเกษตรลงทุนในงานวิจัยในโครงการนี้ 1 บาท จะให้ผลประโยชน์กลับคือมา 6.29 บาท หรือ 6.29 เท่า

และเมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนภายในจากการลงทุนวิจัย (IRR) เท่ากับร้อยละ 46 หมายความว่า โครงการนี้ให้อัตราผลตอบแทนคืนกลับมาให้โครงการคิดเป็นร้อยละ 46 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

จากการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 3  สามารถสรุปได้ว่า โครงการวิจัยนี้มีความคุ้มค่าต่อการลงทุน ซึ่งกรมวิชาการเกษตรควรมีการสนับสนุนทุนวิจัยงานด้านปรับปรุงพันธุ์พืชเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรและผู้ใช้ประโยชน์ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารต่อไปในอนาคต



แหล่งที่มา:
หนึ่งฤทัย และคณะ, 2560. การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมทนทานแล้งพันธุ์นครสวรรค์ 3. การประชุมวิชาการข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ครั้งที่ 38 ณ โรงแรมแกรนด์ฮิลล์ รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์


2 สิงหาคม 2560

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์ใหม่ นครสวรรค์ 4

ผลผลิตสูง ทนแล้ง ปรับตัวได้ดี ต้านทานโรค

เดิมมีรหัส NSX042022 เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์ใหม่อีก 1 พันธุ์ ที่วิจัยและพัฒนาพันธุ์โดย ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร  และเสนอรับรองพันธุ์ในชื่อ พันธุ์นครสวรรค์ 4

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 4 เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยวอายุยาว สามารถเก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 110-120 วัน

เกิดจากการผสมข้ามระหว่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ตากฟ้า 1 เป็นพันธุ์แม่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ Nei452006 เป็นพันธุ์พ่อ

ลำต้นสูง 190 เซนติเมตร ความสูงของระดับฝัก 106 เซนติเมตร มีระบบรากและลำต้นแข็งแรง ทนทานต่อการหักล้ม มีอายุวันออกไหม 54 วัน และวันออกดอกตัวผู้ 53 วัน เมล็ดเป็นชนิดหัวแข็งสีส้ม

ลักษณะเด่น
1) ผลผลิตสูงเฉลี่ย 1,033 กิโลกรัมต่อไร่ (เฉลี่ยจาก 67 แปลงทดสอบ) ใกล้เคียงกับพันธุ์ลูกผสมการค้า
2) มีความทนทานแล้งในระยะออกดอก โดยให้ผลผลิตเฉลี่ย 695 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อกระทบแล้งช่วงออกดอกนานหนึ่งเดือน (ผลผลิตลดลง 49 % จากสภาพฝนปกติ)
3) มีความต้านทานโรคราน้ำค้าง โรคใบไหม้แผลใหญ่ และโรคราสนิม ในระดับปานกลาง

สภาพพื้นที่ที่เหมาะสม
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 4 มีเสถียรภาพในการให้ผลผลิตดี สามารถปลูกได้ทั่วไปในสภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของประเทศไทย

ข้อมูลเพิ่มเติม
ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ 60190  โทรศัพท์ 0 5624 1019
โทรสาร 0 5624 1498  Email: nsfcrc@doa.in.th

ลักษณะทรงต้นของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 4

ลักษณะฝักของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 4 เมล็ดเป็นชนิดหัวแข็ง สีส้ม

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์ใหม่ นครสวรรค์ 5

ผลผลิตสูง อายุเก็บเกี่ยวสั้น ทนแล้ง ต้านทานโรค

นครสวรรค์ 5 (NSX052014) เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยวอายุค่อนข้างสั้น สามารถเก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 95-100 วัน

วิจัยและพัฒนาพันธุ์ โดย ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร

เกิดจากการผสมข้ามระหว่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ ตากฟ้า 7 (Nei462013) เป็นพันธุ์แม่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ ตากฟ้า 5 (Nei452009) เป็นพันธุ์พ่อ

ลำต้นสูง 202 เซนติเมตร ความสูงของระดับฝัก 109 เซนติเมตร มีอายุวันออกไหม 53 วัน และวันออกดอกตัวผู้ 52 วัน เมล็ดเป็นชนิดกึ่งหัวแข็งสีส้มเหลือง

ลักษณะเด่น
1) ผลผลิตสูง เฉลี่ย 1,176 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์นครสวรรค์ 3 ร้อยละ 10
2) มีความทนทานแล้งในระยะออกดอก โดยให้ผลผลิตเฉลี่ย 749 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อกระทบแล้งช่วงออกดอกนานหนึ่งเดือน (ผลผลิตลดลง 49% จากสภาพฝนปกติ)
3) มีความต้านทานต่อโรคใบไหม้แผลใหญ่ โรคราสนิม  และต้านทานปานกลางต่อโรคราน้ำค้าง
4) ฝักแห้งเร็วในขณะที่ต้นยังเขียวสด ทำให้เก็บเกี่ยวได้เร็ว มีความชื้นขณะเก็บเกี่ยวน้อยกว่าพันธุ์อื่นๆ ที่ปลูกพร้อมกัน

สภาพพื้นที่ที่เหมาะสม
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์นครสวรรค์ 5 ให้ผลผลผลิตสูงในสภาพแวดล้อมที่ดี มีการจัดการดี จึงเหมาะสำหรับแนะนำเป็นพันธุ์เฉพาะพื้นที่ เช่น ปลูกในพื้นที่หลังนาที่มีการให้น้ำชลประทาน แหล่งปลูกที่เกษตรต้องการเก็บเกี่ยวผลผลิตเร็วเพื่อปลูกพืชตาม หรือแหล่งปลูกที่มีการระบาดของโรคใบไหม้แผลใหญ่ในภาคเหนือของไทย

ข้อมูลเพิ่มเติม
ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ 60190  โทรศัพท์ 0 5624 1019
โทรสาร 0 5624 1498   website: http://www.doa.go.th/fcrc/nsn/   email: nsfcrc@doa.in.th


ลักษณะฝักข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม นครสวรรค์ 5 เมล็ดเป็นชนิดกึ่งหัวแข็ง สีส้มเหลือง


ลักษณะทรงต้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม นครสวรรค์ 5 ฝักแห้งเร็วในขณะที่ต้นยังเขียวสด

20 กรกฎาคม 2560

ผลของอายุเก็บเกี่ยวที่มีต่อผลผลิตและปริมาณแป้งมันสำปะหลัง

โดย วีรวัฒน์ นิลรัตนคุณ และโอภาษ บุญเส็ง

การศึกษาผลของอายุเก็บเกี่ยวที่มีต่อผลผลิตและปริมาณแป้งในหัวสดของมันสำปะหลังที่ปลูกในดินเหนียวสีดำ ชุดลพบุรี

วางแผนการทดลองแบบ Split plot มี 3 ซ้ำ ปัจจัยหลักประกอบด้วยพันธุ์มันสำปะหลัง 4 พันธุ์ คือ ระยอง 5 ระยอง 7 เกษตรศาสตร์ 50 และห้วยบง 60 ปัจจัยรองประกอบ 6 อายุเก็บเกี่ยว ที่อายุ 8, 10, 12, 14, 16 และ 18 เดือน ทำการทดลองที่ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ในปี พ.ศ. 2547-2549 โดยปลูกมันสำปะหลังในช่วงต้นและปลายฤดูฝนปี พ.ศ. 2547 และต้นฤดูฝนปี พ.ศ. 2548 ระยะปลูก 1.0x1.0 ม.

ผลการทดลอง พบว่า ผลผลิตของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นตามอายุการเก็บเกี่ยว และการปลูกต้นฤดูฝนให้ผลผลิตสูงกว่าปลายฤดูฝน  การเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังที่อายุเก็บเกี่ยว 18 เดือน ทั้งในช่วงต้นและปลายฤดูฝน ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงกว่าการเก็บเกี่ยวที่อายุ 10 เดือน ถึง 123 และ 105 % ตามลำดับ  โดยพันธุ์   ห้วยบง 60 ให้ผลผลิตสูงที่สุดเมื่อปลูกต้นฤดูฝน พันธุ์ระยอง 7 ให้ผลผลิตสูงที่สุดเมื่อปลูกปลายฤดูฝน

ในส่วนของปริมาณแป้งในหัวสด พบว่า ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขณะที่ทำการเก็บเกี่ยว และระยะการเจริญเติบโต โดยมีปริมาณแป้งเฉลี่ยสูงที่สุดในช่วงเดือนมกราคม ปริมาณแป้งเริ่มลดในเดือนมีนาคม และมีปริมาณต่ำสุดในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นปริมาณแป้งจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น แม้ในช่วงเดือนกันยายนที่มีฝนตกหนัก ยังมีปริมาณแป้งสูงถึง 25 % และปริมาณจะขึ้นสูงสุดที่เดือนมกราคมอีกครั้ง

ฝนตกชุก โรคกาบและใบไหม้ในข้าวโพด ระบาดรุนแรง

การระบาดขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม  ในสภาพที่มีฝนตกชุกติดต่อกัน ส่งผลให้ความชื้นสูง มักพบการระบาดของโรคกาบและใบไหม้ (banded leaf and sheath blight) ในข้าวโพด ค่อนข้างรุนแรง

สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Rhizoctonia solani Kuhn.

ลักษณะอาการ
กาบหุ้มที่โคนต้นมีรอยฉ่ำน้ำสีเขียวอมเทา เน่ากลายเป็นสีน้ำตาล ลุกลามไปยังกาบของลำต้นที่อยู่สูงขึ้นไป และขยายไปสู่โคนใบ ทำให้ใบไหม้ขยายไปตามทางยาวของใบ เมื่อแสงแดดจัด ความชื้นน้อยเชื้อราก็จะหยุดการเจริญ จึงเห็นเป็นแผลแห้งเหมือนแดดเผา มีขอบสีน้ำตาลขวางตามใบเป็นชั้น ๆ เมื่อถึงเวลากลางคืนอากาศเย็นความชื้นสูง แผลก็ขยายไหม้ลามต่อไปตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อรา จึงเห็นใบข้าวโพดที่เป็นโรคนี้เป็นลายคราบตามขวางของใบเป็นชั้นคล้ายคราบงู จะพบเส้นใยของเชื้อราบนส่วนที่เป็นโรค

การแพร่ระบาด
สาเหตุของการเกิดโรคและแพร่ระบาดคือเม็ดสเคลอโรเทีย (sclerotia) ของเชื้อซึ่งอยู่ในดินและซากหญ้า พืชอาศัยที่ขึ้นอยู่บริเวณใกล้เคียงข้าวโพด การระบาดของโรคไปยังต้นอื่นๆ โดยการสัมผัสของใบที่เป็นโรคกับส่วนต่าง ๆ ของต้นปกติ
อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อสาเหตุประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ พบการเกิดโรคน้อย

การป้องกันกำจัด
1. ใช้เมล็ดพันธุ์จากต้นที่สมบูรณ์และปราศจากโรค
2. หมั่นตรวจไร่อยู่เสมอในระยะต้นข้าวโพดอายุได้ 40-50 วัน เมื่อพบโรคระบาดให้ถอนและเผาทำลาย ในระยะออกฝัก หากพบฝักเป็นโรคมีเม็ดเชื้อราสาเหตุลักษณะคล้ายเม็ดผักกาด เมื่อเก็บไปทำลายพยายามอย่าให้เม็ดเชื้อราร่วงหล่นในแปลงเพราะจะแพร่โรคต่อไป
3. ทำลายเศษเหลือของต้นข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยว ก่อนปลูกฤดูต่อไปให้ไถพลิกดินขึ้นมาตากแดดหลาย ๆ ครั้ง เติมอินทรีย์วัตถุในแปลงปลูก เตรียมดินให้มีการระบายน้ำดี
4. หลีกเลี่ยงการปลูกพืชหนาแน่น  วางแนวของแถวปลูกทิศทางเดียวกับลม เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
5. ลดการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปริมาณสูง
ุ6. ปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่ใช่พืชอาศัย พืชอาศัยของโรคนี้ได้แก่ ข้าว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วต่าง ๆ และอ้อย
7. เพิ่มอินทรีย์วัตถุในแปลงปลูกและเพิ่มเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ เช่น Trichoderma harzianum จุลินทรีย์เหล่านี้สามารถเจริญแข่งขันและย่อยสลายเส้นใยของเชื้อราสาเหตุโรคนี้ได้


เชื้อสาเหตุ : Rhizoctonia solani






การระบาดของโรคสู่ต้นข้างเคียง โดยใบจากต้นเป็นโรคสัมผัสกับใบของต้นปกติ





ในสภาพที่ความชื้นสูง จะพบเส้นใยของเชื้อสาเหตุบนส่วนของพืชที่เป็นโรค แล้วพัฒนาเป็น sclerotia ซึ่งเป็นส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อ

ลักษณะ sclerotia ของเชื้อสาเหตุ

- - - - -
ข้อมูล:เอกสารวิชาการโรคข้าวโพด กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร

30 พฤษภาคม 2560

อาการผิดปกติของมันสำปะหลังที่เกิดจากสารกำจัดวัชพืช

มันสำปะหลังที่ปลูกในพื้นที่ใกล้เคียงกับพืชไร่ชนิดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไร่อ้อย  มักประสบปัญหาการปลิวของละอองสารกำจัดวัชพืชจากการใช้ในแปลงข้างเคียงมาสู่แปลงมันสำปะหลัง ทำให้มันสำปะหลังมีอาการผิดปกติ

ในที่นี้ได้รวบรวมลักษณะอาการผิดปกติของมันสำปะหลังที่เกิดจากการได้รับสารกำจัดวัชพืชชนิดที่เป็นปัญหา เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยแก่นักวิชาการ หรือผู้เกี่ยวข้องต่อไป

พาราควอท
ส่วนใหญ่การกำจัดวัชพืชโดยใช้พาราควอทไม่ค่อยเป็นปัญหาต่อมันสำปะหลังนัก หากพ่นอย่างระมัดระวัง แต่ก็พบเกิดขึ้นบ้างในเกษตรกรบางราย อาการที่พบเมื่อมันสำปะหลังได้รับสาร ใบจะเกิดจุดตายสีขาว บางครั้งจุดตายลามติดกันหากได้รับสารมาก (ภาพที่ 1 และ 2)
ภาพที่ 1

ภาพที่ 2


ไกลโฟเสท
หากมันสำปะหลังได้รับสารขณะต้นยังเล็ก จะทำให้แคระแกร็น หยักใบแคบลง เรียวเป็นเส้น (ภาพที่ 3 และ 4)

ภาพที่ 3


ภาพที่ 4


ไดยูรอน
เกษตรกรส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าไดยูรอนไม่เป็นพิษต่อมันสำปะหลัง เนื่องจากในฉลากแนะนำให้ใช้กำจัดวัชพืชในไร่มันสำปะหลัง แต่หากใช้ไม่ถูกช่วงเวลา เช่น พ่นในแปลงมันสำปะหลัง หลังจากที่มันสำปะหลังแตกใบแล้ว หรือ ใช้ในปริมาณที่มากเกินคำแนะนำ จะมีผลต่อมันสำปะหลังได้ นอกจากนี้มันสำปะหลังที่ปลูกใกล้กับไร่อ้อยที่มีการพ่นไดยูรอนเพื่อกำจัดวัชพืช  ก็มีความเสี่ยงที่มันสำปะหลังจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก (ภาพที่ 5,6,7 และ 8)

ภาพที่ 5

การพ่นไดยูรอนเพื่อควบคุมวัชพืชก่อนงอก แต่พ่นหลังจากต้นมันสำปะหลังแตกใบแล้ว จะทำให้มันสำปะหลังใบเหลือง ใบไหม้

ภาพที่ 6

การพ่นไดยูรอนเพื่อควบคุมก่อนวัชพืชงอก หากใช้ปริมาณมากเกินไป ไดยูรอนที่ตกค้างในดินจะถูกรากมันสำปะหลังดูดขึ้นมา ทำให้มันสำปะหลังเกิดอาการใบไหม้ โดยบางใบจะเห็นเส้นใบเป็นสีขาว

ภาพที่ 7

ใบแก่จะเห็นเส้นใบเป็นสีขาวชัดเจน ในต้นที่รากดูดซึมไดยูรอนขึ้นมา

ภาพที่ 8

พื้นที่ของเกษตรกรบางรายมีปัญหาวัชพืชขึ้นหนาแน่น จึงคิดว่าการพ่นสารในปริมาณมาก จะทำให้ควบคุมวัชพืชได้นาน จึงใช้ไดยูรอนในปริมาณมาก เช่น 5 เท่า ของอัตราแนะนำ สารไดยูรอนจะตกค้างในดินนานเกือบ 6-7 เดือน รากจะดูดสารขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใบมันสำปะหลังไหม้ บางครั้งต้นแห้งตาย ส่วนใหญ่จะพบการตายเป็นหย่อมในบริเวณที่มีสารตกค้างมาก

อทราซีน
มันสำปะหลังที่ได้รับสารอทราซีน ใบจะเหลือง หากได้รับสารในปริมาณมาก ใบจะไหม้ (ภาพที่ 9 และ 10)

ภาพที่ 9


ภาพที่ 10


อมิทริน
อาการผิดปกติหลังจากได้รับสารอมิทริน ใบจะเหลืองซีด จนถึงใบไหม้สีน้ำตาลแดง (ภาพที่ 11,12 และ 13)

ภาพที่ 11


ภาพที่ 12


ภาพที่ 13


ทูโฟดี (2-4, D)
อาการที่เกิดกับมันสำปะหลังเมื่อได้รับสารทูโฟดี มีหลายแบบ ทั้งใบไหม้ และการเจริญที่ผิดปกติ ขึ้นกับปริมาณสารที่ได้รับ อาการจำเพาะของมันสำปะหลังที่ได้รับสารทูโฟดี ได้แก่ อาการใบบิดพลิก กิ่งบวม ลำต้นบวมแตก (ภาพที่ 14,15 และ 16)

ภาพที่ 14


ภาพที่ 15


ภาพที่ 16


นอกจากนี้  ยังพบอาการผิดปกติจากสาเหตุอื่น ที่คล้ายกับอาการที่เกิดจากสารอทราซีนและอมิทริน  ได้แก่ การขาดธาตุเหล็ก ซึ่งต้องพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนการวินิจฉัย

ขาดธาตุเหล็ก (Fe deficiency)
มันสำปะหลังบางพันธุ์ เช่น ระยอง 7 และ ระยอง 9 เมื่อปลูกในดินชุดตาคลีซึ่งเป็นดินด่าง โดยเฉพาะในดินชุดตาคลีที่มีเม็ดปูนปะปนอยู่บนหน้าดิน ทำให้มันสำปะหลังมีอาการเหลืองซีดที่ใบยอด ในดินที่ด่างมากใบจะเหลืองทั้งต้น ใบจะไหม้จากล่างขึ้นมา ถึงยอดและทำให้ต้นตายได้ ซึ่งลักษณะความผิดปกติที่เกิดจากดินด่าง จะมีอาการคล้ายกับการได้รับสารอทราซีน และอมิทรินมาก ดังนั้นในการวินิจฉัยสาเหตุความผิดปกติ ควรสอบถามข้อมูลจากเกษตรกรให้ละเอียด ทั้งเรื่องดิน พันธุ์ที่ปลูก การใช้สารกำจัดวัชพืชของเกษตรกรเอง ชนิดของพืชปลูกข้างเคียง หรือมีการปลิวของละอองสารจากแปลงข้างเคียงหรือไม่ (ขาดธาตุเหล็ก ภาพที่ 17,18 และ 19)

ภาพที่ 17


ภาพที่ 18


ภาพที่ 19






เนื้อหา